แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ขณะปลูกกัญชาจำเลยย่อมจะต้องมีกัญชาไว้ในครอบครองเพราะถ้าไม่มีกัญชาก็จะปลูกกัญชาไม่ได้ จำเลยจึงมีกัญชาไว้ในครอบครองตั้งแต่ขณะปลูก และเมื่อปลูกแล้วกัญชาย่อมเจริญเติบโต เมื่อปรากฏว่ากัญชาที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเป็นส่วนหนึ่งของผลผลิตซึ่งเกิดจากกัญชาที่จำเลยปลูก ไม่ว่าจำเลยจะเก็บจากต้นแล้วหรือไม่ก็ตาม ถือได้ว่าการมีกัญชาไว้ในครอบครองตามพฤติการณ์ดังกล่าวเป็นกรรมเดียวกับความผิดฐานผลิตกัญชาด้วยการปลูก (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 3/2527)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม 2525 ถึงวันที่ 11 พฤษภาคม2525 วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยปลูกกัญชาจำนวน 4 ต้น อันเป็นการผลิตกัญชาซึ่งเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 และต่อมาวันที่ 28 กรกฎาคม 2525 เวลากลางวันจำเลยมีกัญชาแห้งน้ำหนัก 340.20 กรัม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกัญชาที่จำเลยได้มาจากการผลิตไว้ในครอบครอง ทั้งนี้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากรับมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522มาตรา 4, 7, 26, 75, 76, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 26, 75, 76, 102 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 2ลงโทษฐานมีกัญชา จำคุก 1 ปี ฐานผลิตกัญชา จำคุก 2 ปี รวมโทษจำคุก 3 ปีรับสารภาพลดกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี 6 เดือน
จำเลยอุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว วินิจฉัยว่า ยังไม่มีเหตุผลที่จะรอการลงโทษจำเลยแต่กัญชาแห้งที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเป็นส่วนหนึ่งของกัญชาที่จำเลยได้มาจากการผลิต การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 26, 75, 102 ให้ลงโทษตามมาตรา 75 ซึ่งเป็นบทหนัก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 2 ปี รับสารภาพลดกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิด 2 กรรม
ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า ขณะปลูกกัญชาจำเลยย่อมจะต้องมีกัญชาไว้ในครอบครอง เพราะถ้าไม่มีกัญชาก็จะปลูกกัญชาไม่ได้ จำเลยจึงมีกัญชาไว้ในครอบครองตั้งแต่ขณะปลูก และเมื่อปลูกแล้วกัญชาย่อมเจริญเติบโตเมื่อปรากฏว่ากัญชาที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเป็นส่วนหนึ่งของผลผลิตซึ่งเกิดจากกัญชาที่จำเลยปลูก ไม่ว่าจำเลยจะเก็บจากต้นแล้วหรือไม่ก็ตาม ถือได้ว่าการมีกัญชาไว้ในครอบครองตามพฤติการณ์ดังกล่าวเป็นกรรมเดียวกับความผิดฐานผลิตกัญชาด้วยการปลูก ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น แต่ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522มาตรา 26, 75, 102 ให้ลงโทษตามมาตรา 75 ซึ่งเป็นบทหนัก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 นั้นไม่ถูกต้อง เพราะการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 76 อีกบทหนึ่งด้วย
พิพากษาแก้ เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 76 อีกบทหนึ่ง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์