คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7139/2553

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ขณะเกิดเหตุจำเลยเหน็บอาวุธปืนพกไว้ที่เอวอยู่ก่อนแล้ว เมื่อจำเลยตาม โจทก์ร่วมออกมาที่รถดึงประตูด้านคนขับเปิดนั้น จำเลยมีโอกาสดีที่จะชักอาวุธปืนที่เหน็บที่เอวออกมายิงใส่โจทก์ร่วมซึ่งจะสามารถฆ่าโจทก์ร่วมได้โดยง่ายแต่จำเลยไม่ได้ทำ แสดงว่าจำเลยไม่มีเจตนาฆ่าโจทก์ร่วมมาแต่แรก จำเลยจึงไม่ได้ชักอาวุธปืนยิงเมื่อมีโอกาสดีดังกล่าว อย่างไรก็ดีจำเลยได้ยิงเมื่อโจทก์ร่วมขับรถออกไปซึ่งเป็นการยิงตามหลังรถ กระสุนถูกตัวถังรถที่ฝากระบะท้าย 1 นัด อีก 1 นัด มีรอยที่ตัวถังด้านข้างเกือบจะถึงขอบรอยต่อกับส่วนห้องผู้โดยสารด้านหน้าที่เรียกว่าแคปหรือที่ว่างให้คนโดยสารนั่งหรือไว้ของด้านหลังเบาะคนขับ รูกระสุนที่ฝากระบะท้ายอยู่ต่ำกว่าขอบบนกระบะ 12 เซนติเมตร และรอยที่ตัวถังด้านข้างต่ำกว่าขอบบนกระบะ 14 เซนติเมตร ถือได้ว่าอยู่ในแนวเดียวกัน เหนือขอบบนกระบะเป็นโครงหลังคาและกระจก โอกาสที่กระสุน 2 นัดที่จำเลยยิงจะถูกโจทก์ร่วมแทบจะไม่มีเลย หากจำเลยต้องการจะให้กระสุนถูกโจทก์ร่วมต้องยิงผ่านกระจกเพราะกระสุนทะลุกระจกได้ง่ายพอจะมีโอกาสไปถูกโจทก์ร่วมได้ แต่จำเลยยิงระดับเดียวกันทั้งสองนัดที่ตัวถังรถ น่าจะเป็นการตั้งใจยิงรถที่ตัวถังรถเพื่อระบายความโกรธ พฤติการณ์ยิงปืนพก 2 นัด ของจำเลยไม่เพียงพอจะชี้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าโจทก์ร่วม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ, ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 80, 91, 142, 288 และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่ก่อนสืบพยานโจทก์ จำเลยแก้ไขคำให้การโดยรับสารภาพในข้อหามีและพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตและทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งเอกสารที่พนักงานสอบสวนยึดรักษาไว้เป็นพยานหลักฐาน ส่วนข้อหาอื่นให้การปฏิเสธ
ระหว่างการพิจารณา นายขวัญภพ ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาตเฉพาะความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 142 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานทำให้เสียหายซึ่งเอกสารอันเจ้าพนักงานได้รักษาไว้เพื่อเป็นพยานหลักฐาน จำคุก 6 เดือน และปรับ 2,000 บาท ฐานมีอาวุธปืนของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 6 เดือน และปรับ 3,000 บาท ฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 6 เดือน และปรับ 3,000 บาท รวมจำคุก 18 เดือน และปรับ 8,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพในความผิดฐานดังกล่าวเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 9 เดือน และปรับ 4,000 บาท ไม่ปรากฎว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน เพื่อเปิดโอกาสให้จำเลยได้กลับตัวเป็นพลเมืองดี ให้รอการลงโทษจำคุกมีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้บังคับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ข้อหาและคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 ให้จำคุก 10 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา นับเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามมาตรา 78 คงจำคุก 6 ปี 8 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงตามที่โจทก์ โจทก์ร่วมและจำเลยนำสืบฟังยุติว่า นายเกียรติศักดิ์ บิดาของโจทก์ร่วมกับนางมานน มารดาของโจทก์ร่วมทะเลาะกัน นายเกียรติศักดิ์ขับรถกระบะคันเกิดเหตุไปหาจำเลยซึ่งเป็นน้องชายที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี วันก่อนวันเกิดเหตุนายเกียรติศักดิ์กับจำเลยได้ขับรถกระบะคันเกิดเหตุมาที่บ้านเกิดเหตุซึ่งนางมานน โจทก์ร่วม พี่สาวและน้องสาวโจทก์ร่วมพักอาศัย นายเกียรติศักดิ์พักที่บ้าน ส่วนจำเลยพักโรงแรมโดยนำรถกระบะคันเกิดเหตุไปใช้เดินทาง วันเกิดเหตุจำเลยขับรถมาที่บ้านจอดรถไว้ที่เกิดเหตุพบว่านายเกียรติศักดิ์กับนางมานนทะเลาะกัน มีโจทก์ร่วมโต้เถียงกับนายเกียรติศักดิ์ด้วย จำเลยจึงต่อว่าทะเลาะกับโจทก์ร่วมถึงกับจะทำร้ายร่างกายกัน แต่นางมานนห้ามโจทก์ร่วมไว้ โจทก์ร่วมมีกุญแจสำรองของรถกระบะคันเกิดเหตุจึงนำไปไขรถที่จำเลยจอดไว้เพื่อขับไป จำเลยตามออกไป ที่รถดึงประตูด้านคนขับเปิดออก โจทก์ร่วมดึงประตูปิดแล้วล็อกประตู โจทก์ร่วมขับรถถอยหลังก่อนแล้วเดินหน้าขับไปขึ้นถนน จำเลยชักอาวุธปืนพกตามฟ้องออกจากเอวยิงไปที่รถที่โจทก์ร่วมขับออกไป 2 นัด ถูกที่ฝากระบะท้าย 1 นัด ด้านข้างรถ 1 นัด โจทก์ร่วมขับรถออกไปแล้วนายเกียรติศักดิ์กับจำเลยจึงพากันไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจเพื่อให้สกัดรถที่โจทก์ร่วมขับไปไว้ คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยใช้อาวุธปืนพกยิง 2 นัด ดังกล่าวโดยมีเจตนาฆ่าโจทก์ร่วมหรือไม่ เห็นว่า จำเลยเหน็บอาวุธปืนพกไว้ที่เอวอยู่ก่อนแล้ว เมื่อจำเลยตามโจทก์ร่วมออกมาที่รถดึงประตูด้านคนขับเปิดนั้นจำเลยมีโอกาสดีที่จะชักอาวุธปืนที่เหน็บที่เอวออกมายิงใส่โจทก์ร่วมซึ่งจะสามารถฆ่าโจทก์ร่วมได้โดยง่ายแต่จำเลยไม่ได้ทำ แสดงว่าจำเลยไม่มีเจตนาฆ่าโจทก์ร่วมมาแต่แรก จำเลยจึงไม่ได้ชักอาวุธปืนยิงเมื่อมีโอกาสดีดังกล่าว อย่างไรก็ดีจำเลยได้ยิงเมื่อโจทก์ร่วมขับรถออกไป ซึ่งเป็นการยิงตามหลังรถ กระสุนถูกตัวถังรถที่ฝากระบะท้าย 1 นัด อีก 1 นัด มีรอยที่ตัวถังด้านข้างเกือบจะถึงขอบรอยต่อกับส่วนห้องผู้โดยสารด้านหน้าที่เรียกว่าแคปหรือที่ว่างให้คนโดยสารนั่งหรือไว้ของด้านหลังเบาะคนขับ รูกระสุนที่ฝากระบะท้ายอยู่ต่ำกว่าขอบบนกระบะ 12 เซนติเมตร และรอยที่ตัวถังด้านข้างต่ำกว่าขอบบนกระบะ 14 เซนติเมตร ถือได้ว่าอยู่ในแนวเดียวกัน เหนือขอบบนกระบะเป็นโครงหลังคาและกระจก โอกาสที่กระสุน 2 นัดที่จำเลยยิงจะถูกโจทก์ร่วมแทบจะไม่มีเลย หากจำเลยต้องการจะให้กระสุนถูกโจทก์ร่วมต้องยิงผ่านกระจกเพราะกระสุนทะลุกระจกได้ง่ายพอจะมีโอกาสไปถูกโจทก์ร่วมได้ แต่จำเลยยิงระดับเดียวกันทั้งสองนัดที่ตัวถังรถ น่าจะเป็นการตั้งใจยิงรถที่ตัวถังรถเพื่อระบายความโกรธ พฤติการณ์ยิงปืนพก 2 นัด ของจำเลยไม่เพียงพอจะชี้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าโจทก์ร่วม ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิจารณาว่า วิถีกระสุนอยู่ในระนาบเดียวกับที่โจทก์ร่วมนั่งอยู่ในรถ จำเลยย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำของตนเองว่ากระสุนอาจถูกโจทก์ร่วมนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องในข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share