แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องขอให้ลงโทษฐานปล้นทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 โดยบรรยายฟ้องว่า จำเลยได้ใช้ไม้ตีทำร้ายร่างกายพวกเจ้าทรัพย์ถึงบาดเจ็บด้วย เมื่อคดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยปล้นทรัพย์ แต่ฟังได้ว่าจำเลยได้ร่วมกันทำร้ายผู้เสียหาย ดังนี้ ศาลย่อมลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกได้บังอาจร่วมกันเป็นคนร้ายลักเอาธนบัตรสร้อยคอทองคำ สร้อยข้อมือทองคำ แหวนทองคำ รวมราคา ๒,๒๘๐ บาท ของนางนกแก้วโดยในการลักทรัพย์นี้ จำเลยกับพวกได้ใช้ไม้เป็นอาวุธตีทำร้ายร่างกายนายปลูก นางกิมลุ้ยพวกของเจ้าทรัพย์ถึงบาดเจ็บ ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐ และขอให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ กับขอให้เพิ่มโทษจำเลยที่ ๒ ตามมาตรา ๙๒ และนับโทษต่อจากคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๓๙๔/๒๕๐๘ (แดงที่ ๕๙๙/๒๕๐๘)
จำเลยทังสองให้การปฏิเสธ ส่วนข้อต้องโทษ จำเลยที่ ๒ รับว่าจริงตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐ ให้จำคุกคนละ ๑๕ ปี เพิ่มโทษจำเลยที่ ๒ ตามมาตรา ๙๒ อีก คงจำคุกจำเลยที่ ๒ ยี่สิบปี กับให้จำเลยคืนหรือให้ราคาทรัพย์ ๒,๒๘๐ บาทแก่เจ้าทรัพย์ ให้นับโทษจำเลยที่ ๒ ต่อตามฟ้อง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๑ กับพวกใช้ไม้เป็นอาวุธตีทำร้ายร่างกายนายปลูก นางกิมลุ้ย จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายจริง ส่วนในข้อหาปล้นทรัพย์พยานเบิกความแตกต่างกันไม่น่าเชื่อ จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่า จำเลยที่ ๑ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๕ ให้จำคุก ๘ เดือน ยกฟ้องจำเลยที่ ๒
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาฟังว่า จำเลยกับพวกได้ร่วมกันมาทำร้ายผู้เสียหาย ในข้อที่จำเลยทั้งสองกับพวกมาทำร้ายผู้เสียหายนั้น เพื่อประสงค์จะทำการปล้นทรัพย์ตามฟ้องจริงหรือไม่ศาลฎีกาเห็นพ้องกับคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ที่ไม่น่าเชื่อว่าคดีนี้จำเลยกับพวกสมคบกันมาเพื่อปล้นทรัพย์ พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ ๒ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๕ ด้วย ให้ลงโทษจำคุก ๘ เดือน เพิ่มโทษตามมาตรา ๙๒ แล้ว เป็นให้จำคุก ๑๐ เดือน ๒๐ วัน นับโทษต่อจากคดีอาญาแดงที่ ๕๙๙/๒๕๐๘ ของศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้นี้แล้ว ให้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.