แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อคดีฟังได้ว่าทางพิพาทตกอยู่ในภารจำยอมซึ่งโจทก์ได้มาโดยอายุความจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินแปลงที่ทางพิพาทตั้งอยู่ก็ไม่มีอำนาจจะปิดทางพิพาท ส่วนจำเลยซึ่งเป็นผู้เช่าที่ดินมาจากผู้อื่น ก็ไม่มีสิทธิล้อมรั้วกินทางพิพาทนั้นเข้าไปได้ เพราะการกระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์อยู่ในตัว โจทก์จึงชอบที่จะฟ้องให้จำเลยเปิดทางได้
สามยทรัพย์และภารยทรัพย์ไม่จำเป็นต้องอยู่ติดกัน ถ้าการที่ต้องจำยอมนั้นมีลักษณะเป็นภาระแก่อสังหาริมทรัพย์ เพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่น จะเป็นแปลงหนึ่งหรือหลายแปลงก็ดี จะมีอสังหาริมทรัพย์อื่นคั่นอยู่ระหว่างหรือจะต้องข้ามทางสาธารณะไปก็ดี ก็อาจเป็นภารจำยอมได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าเมื่อประมาณ ๒๐ ปีมานี้ โจทก์ได้ใช้สิทธิเดินในที่ดินเพื่อลงท่าน้ำบัดนี้จำเลยล้อมรั้วปิดทาง ขอให้บังคับจำเลยเปิดทางและให้จดทะเบียนสิทธิภารจำยอม
จำเลยให้การว่าที่ดินทางพิพาทบางตอนเป็นของกรมการศาสนา ไม่ใช่ของจำเลย เป็นทางภารจำยอมไม่ได้ สำหรับส่วนที่เป็นที่ดินของจำเลย จำเลยสงวนสิทธิให้เดินได้ตามที่อนุญาตไม่เป็นทางภารจำยอม ขอให้ศาลยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าทางพิพาทเป็นทางภารจำยอม พิพากษาให้จำเลยเปิดทาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังว่าทางพิพาทตกอยู่ในภารจำยอมซึ่งโจทก์ได้มาโดยอายุความจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ไม่มีอำนาจจะปิดทางพิพาทได้ ส่วนจำเลยที่ ๓ แม้จะได้ความว่าเช่าที่มาจากกรมการศาสนาก็ตาม แต่เมื่อได้ความว่าโจทก์ได้ใช้ทางพิพาทนี้มาและจำเลยที่ ๓ ก็รับว่าได้ล้อมรั้วกินทางพิพาทเข้าไป ๒ วา การกระทำของจำเลยที่ ๓ จึงเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์อยู่ในตัว โจทก์ชอบที่จะฟ้องให้จำเลยที่ ๓ เปิดทางเดินนี้ได้ ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าทางพิพาทไม่มาจดที่ดินของโจทก์ ทางพิพาทย่อมไม่เป็นทางภารจำยอมนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๗ บัญญัติแต่เพียงว่าอสังหาริมทรัพย์อาจต้องตกอยู่ในภารจำยอมเพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่น ฉะนั้นสามยทรัพย์และภารยกทรัพย์จึงไม่จำเป็นต้องอยู่ติดกัน ถ้าการที่ต้องจำยอมนั้นมีลักษณะเป็นภาระแก่อสังหาริมทรัพย์เพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่น จะเป็นแปลงหนึ่งหรือหลายแปลงก็ดี จะมีอสังหาริมทรัพย์อื่นคั่นอยู่ระหว่างหรือจะต้องข้ามทางสาธารณะไปก็ดี ก็อาจเป็นภารจำยอมได้
พิพากษายืน.