คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7139/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้จำเลยไม่ได้ว่าจ้างโจทก์ให้เป็นทนายความของจำเลยแต่โดยเหตุที่โจทก์ได้ทำงานให้จำเลยและจำเลยยอมรับเอาผลงานดังกล่าวเป็นประโยชน์แก่ตนแล้วโจทก์จึงมีสิทธิได้รับสินจ้างตามผลแห่งการงานที่ได้กระทำไปแล้วซึ่งศาลมีอำนาจกำหนดให้ได้ตามสมควร แม้จำเลยได้ยกปัญหาเรื่องอายุความขึ้นต่อสู้ในคำให้การแต่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยไม่ได้วินิจฉัยปัญหาเรื่องอายุความครั้นโจทก์อุทธรณ์จำเลยก็ไม่ได้ยกปัญหาเรื่องอายุความขึ้นตั้งประเด็นไว้ในคำแก้อุทธรณ์ปัญหาเรื่องอายุความจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ศาลอุทธรณ์มิได้มีคำสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมอย่างอื่นนอกจากค่าขึ้นศาลและค่าทนายความในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาเห็นสมควรมีคำสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมให้ครบถ้วน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณเดือนมีนาคม 2536 จำเลยได้จ้างโจทก์เป็นทนายความแก้ต่างคดีอาญา ระหว่าง พนักงานอัยการกรมอัยการ โจทก์ จ่าสิบเอกอนันต์ สุขสันต์ กับพวก รวม 3 คนจำเลย ในข้อหาจ้าง ใช้วาน สมคบกันฆ่าผู้อื่น ของศาลอาญาโดยตกลงค่าจ้างเป็นเงิน 500,000 บาท จำเลยจะจ่ายเงินให้แก่โจทก์ทันทีที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์ตกลงรับจ้างในที่สุดศาลอาญาได้พิพากษายกฟ้องโจทก์ เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2526ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 8549/2526 แต่จำเลยมิได้จ่ายเงินค่าจ้างว่าความจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ จึงเป็นการผิดนัดต้องชดใช้ดอกเบี้ยแก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2526 จนถึงวันฟ้องเป็นเวลา 2 ปี เป็นเงินดอกเบี้ย 75,000 บาท โจทก์ทวงถามแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉยขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 575,000 บาท ให้แก่โจทก์พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 500,000 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า โจทก์รับเป็นทนายความให้แก่จำเลยแต่จำเลยมิได้ว่าจ้างโจทก์ เพราะจำเลยว่าจ้างบริษัทบางกอกอินเตอร์เนชั่นแนล ลอว์ออฟฟิส จำกัด ซึ่งบริษัทดังกล่าวได้มอบให้โจทก์เป็นทนายความแก้ต่างให้จำเลย เนื่องจากโจทก์เป็นทนายความประจำ จำเลยได้จ่ายค่าจ้างว่าความให้แก่บริษัทดังกล่าวแล้ว ซึ่งโจทก์ทราบรายละเอียดจำเลยไม่เคยตกลงจะจ่ายค่าจ้างว่าความให้โจทก์โดยตรง โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยใช้เงินให้โจทก์ 30,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จให้จำเลยใช้ค่าขึ้นศาลทั้งสองศาลแทนโจทก์ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความให้สองศาลรวม 3,000 บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังเป็นยุติได้ว่าโจทก์เป็นทนายความประจำที่สำนักงานกฎหมายบริษัทบางกอกอินเตอร์เนชั่นแนลลอว์ออฟฟิส จำกัด โดยได้รับเงินเดือนจากบริษัท บริษัทได้มอบหมายให้โจทก์เป็นทนายความแก้ต่างให้จำเลยในคดีที่พนักงานอัยการ กรมอัยการ เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยกับพวกในข้อหาร่วมกันจ้างวานฆ่าผู้อื่น โจทก์ได้ดำเนินการเป็นทนายความแก้ต่างให้จำเลยตามที่บริษัทมอบหมาย คดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นโจทก์พ้นจากการเป็นทนายความประจำของบริษัทแต่โจทก์คงดำเนินการเป็นทนายความแก้ต่างให้จำเลยตลอดมาจนคดีเสร็จการพิจารณาของศาลชั้นต้น ในที่สุดศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์ทวงถามค่าจ้างว่าความจากจำเลย จำเลยปฏิเสธ
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การที่โจทก์รับดำเนินคดีให้จำเลยจนเสร็จสำนวนนั้น น่าจะเป็นเรื่องที่โจทก์รับทำงานที่ค้างในความรับผิดชอบต่อไปจนเสร็จมากกว่าที่จะมีการตกลงว่าจ้างให้โจทก์ทำงานโดยมีค่าจ้างอีกดังที่โจทก์นำสืบไม่น่าเชื่อว่าจำเลยจ้างโจทก์เป็นทนายความ โจทก์และจำเลยไม่ได้ฎีกาคัดค้านในปัญหาข้อนี้ ข้อเท็จจริงจึงฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
สำหรับที่จำเลยฎีกาข้อแรกว่า วิชาชีพทนายความเป็นวิชาชีพอิสระการจ้างว่าความเป็นเรื่องที่ไม่สามารถแบ่งแยกและกำหนดค่าจ้างเป็นขั้นตอนได้ เมื่อรับว่าความและรับค่าจ้างแล้วต้องว่าคดีไปจนถึงที่สุด การที่โจทก์ว่าความไปจนเสร็จคดีเป็นการแสดงความรับผิดชอบของโจทก์ โจทก์ได้รับเงินเดือนและค่าวิชาชีพอิสระซึ่งก็คือค่าทนายความไปแล้วส่วนหนึ่ง ก็เป็นเงินที่จำเลยจ่ายค่าจ้างว่าความให้บริษัทบางกอกอินเตอร์เนชั่นแนลลอว์ออฟฟิสจำกัด โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างว่าความอีก แม้ว่างานส่วนที่โจทก์ทำให้จำเลยจนแล้วเสร็จนั้นเป็นประโยชน์แก่จำเลยศาลฎีกาเห็นว่า แม้จำเลยไม่ได้ว่าจ้างโจทก์ให้เป็นทนายความของจำเลย แต่โดยเหตุที่โจทก์ได้ทำงานให้จำเลย และจำเลยยอมรับเอาผลงานดังกล่าวเป็นประโยชน์แก่ตนแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิได้รับสินจ้างตามผลแห่งการงานที่ได้กระทำไปแล้ว ซึ่งศาลมีอำนาจกำหนดให้ได้ตามสมควร ที่ศาลอุทธรณ์กำหนดสินจ้างให้แก่โจทก์จำนวน 30,000 บาท นั้น เป็นการสมควรแล้ว
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์รับจ้างว่าความตั้งแต่เดือนธันวาคม 2524 โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2528คดีโจทก์จึงขาดอายุความฟ้องร้อง นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า แม้จำเลยได้ยกปัญหาเรื่องอายุความขึ้นต่อสู้ในคำให้การ แต่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยไม่ได้วินิจฉัยปัญหาเรื่องอายุความครั้นโจทก์อุทธรณ์ จำเลยก็ไม่ได้ยกปัญหาเรื่องอายุความขึ้นตั้งประเด็นไว้ในคำแก้อุทธรณ์ ปัญหาเรื่องอายุความจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
อนึ่ง คดีนี้ศาลอุทธรณ์มิได้มีคำสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมอย่างอื่นนอกจากค่าขึ้นศาลและค่าทนายความในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาเห็นสมควรมีคำสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมให้ครบถ้วน
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์นอกจากที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งแล้วให้เป็นพับ

Share