แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยฟ้องโจทก์ในความผิดฐานร่วมกันข่มขืนใจให้ผู้อื่นกระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใดโดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกายและเสรีภาพ ดังนี้ การบรรยายฟ้องว่า โจทก์พูดจาข่มขู่จำเลยอันมิใช่เป็นการใช้สิทธิตามปกตินิยมอันเนื่องมาจากการที่จำเลยใช้สิทธิในการเข้าตรวจสอบที่ดินและอาคารตามฟ้องซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย โดยโจทก์ได้พูดจาข่มขู่ต่อจำเลยว่า ใครเข้าไปเดี๋ยวจะเอาเข้าคุกให้หมดเลยทั้งคนเข้าไป จะเป็นทนายหรือตำรวจ เดี๋ยวจะเอาเข้าคุกให้หมด ทั้งที่จำเลยได้ซื้อที่ดินและอาคารมาจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล โจทก์เป็นทนายความมีความรู้ทางกฎหมายมากกว่าคนทั่วไปกลับกล่าวคำข่มขู่ดังกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ก้าวร้าว รุนแรง และมิใช่เป็นการข่มขู่ที่จะใช้สิทธิตามปกตินิยม ทำให้จำเลยกลัวและไม่สามารถตรวจสอบที่ดินและอาคารอันเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยได้อย่างสมัครใจเนื่องจากกลัวว่าโจทก์สามารถทำให้จำเลยเข้าคุกได้เพราะแม้แต่เจ้าพนักงานตำรวจโจทก์ยังกล้าพูดข่มขู่ จึงเป็นการใช้สิทธิทางศาล ซึ่งจำเลยจำเป็นต้องกล่าวมาในฟ้องเพื่อให้เห็นว่าการกระทำของโจทก์เป็นความผิดฐานร่วมกันข่มขืนใจให้ผู้อื่นกระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใดโดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกายและเสรีภาพ ถือได้ว่าเป็นข้อความในกระบวนพิจารณาคดีในศาลของคู่ความเพื่อประโยชน์แก่คดีของตน จึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท
คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาเป็นหน้าที่ของศาลจะต้องสั่งเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมไว้ในคำพิพากษา ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 167 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 40 เมื่อศาลชั้นต้นยกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานหมิ่นประมาท และยกคำขอในส่วนแพ่ง เท่ากับศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาในคดีส่วนแพ่งแล้ว และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ซึ่งเท่ากับศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาในคดีส่วนแพ่งเช่นกัน การที่ศาลล่างทั้งสองมีคำพิพากษาแล้วมิได้สั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียม จึงเป็นการไม่ชอบด้วยบทกฎหมายดังกล่าว แต่มิใช่เป็นกรณีศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องโจทก์แล้วมีคำสั่งไม่รับฟ้องโจทก์ตั้งแต่ต้น อันจะทำให้ศาลมีคำสั่งคืนค่าขึ้นศาลทั้งหมดแก่โจทก์ได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 151 วรรคหนึ่ง ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 40
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 90, 91, 175, 181 (1), 326, 328 ให้จำเลยชำระเงินค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์จำนวน 2,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหาหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328 และยกคำขอในส่วนแพ่ง ส่วนข้อหาฟ้องเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 175, 181 (1) ศาลชั้นต้นสั่งในรายงานกระบวนพิจารณาว่า คดีหลักซึ่งเป็นมูลเหตุให้โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้อยู่ระหว่างการพิจารณายังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด จึงให้งดไต่สวนมูลฟ้อง และจำหน่ายคดีชั่วคราวเพื่อรอคดีหลักมีคำพิพากษาถึงที่สุดก่อน โดยให้โจทก์ยื่นคำร้องขอยกคดีขึ้นไต่สวนมูลฟ้องต่อไป
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ระหว่างฎีกา โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นคืนค่าฤชาธรรมเนียมให้โจทก์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ในความผิดข้อหาหมิ่นประมาทและยกคำขอในส่วนแพ่ง โดยวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากจำเลย เป็นการวินิจฉัยการกระทำของจำเลยตามฟ้องโจทก์แล้วพิพากษายกฟ้องในคดีส่วนอาญาและคำขอในคดีส่วนแพ่ง กรณีจึงไม่มีเหตุตามกฎหมายที่สั่งคืนค่าฤชาธรรมเนียมแก่โจทก์ได้ ให้ยกคำร้อง
โจทก์ฎีกาโดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกา และฎีกาคำสั่งศาลชั้นต้นในปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า การกระทำของจำเลยตามฟ้องเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทหรือไม่ เห็นว่า ตามคำฟ้องคดีอาญาหมายเลขดำที่ 987/2555 ของศาลแขวงพระนครเหนือ จำเลยฟ้องโจทก์ในความผิดฐานร่วมกันข่มขืนใจให้ผู้อื่นกระทำการใด ไม่กระทำการใดหรือจำยอมต่อสิ่งใดโดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกายและเสรีภาพ ดังนี้ การที่ฟ้องข้อดังกล่าวบรรยายฟ้องว่า โจทก์พูดจาข่มขู่จำเลยอันมิใช่เป็นการใช้สิทธิตามปกตินิยมอันเนื่องมาจากการที่จำเลยใช้สิทธิในการเข้าตรวจสอบและตรวจตราที่ดินทั้งสองแปลงและอาคารดังกล่าวที่กล่าวไว้ในฟ้องข้อ 2 ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย โดยโจทก์ได้พูดจาข่มขู่ต่อจำเลยว่า ใครเข้าไปเดี๋ยวจะเอาเข้าคุกให้หมดเลยทั้งคนเข้าไป จะเป็นทนายหรือตำรวจ เดี๋ยวจะเอาเข้าคุกให้หมด ทั้งที่จำเลยได้ซื้อที่ดินทั้งสองแปลงและอาคารมาจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งของศาลแพ่งในคดีหมายเลขแดงที่ ย.899/2550 ซึ่งโจทก์ก็เป็นทนายความมีความรู้ทางกฎหมายมากกว่าคนทั่วไป แต่โจทก์กลับกล่าวข่มขู่ดังที่กล่าวไว้ข้างต้นด้วยน้ำเสียงที่ก้าวร้าวและรุนแรงและมิใช่เป็นการข่มขู่ที่จะใช้สิทธิตามปกตินิยม ทำให้จำเลยกลัวและไม่สามารถตรวจสอบและตรวจตราที่ดินทั้งสองแปลงและอาคารอันเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยได้อย่างสมัครใจ เพราะกลัวว่าโจทก์จะสามารถทำให้จำเลยเข้าคุกได้ เพราะแม้แต่เจ้าพนักงานตำรวจโจทก์ยังกล้าพูดข่มขู่ จึงเป็นการใช้สิทธิทางศาล ซึ่งจำเลยมีความจำเป็นจะต้องกล่าวในฟ้องเพื่อให้เห็นว่าการกระทำของโจทก์เป็นความผิดฐานร่วมกันข่มขืนใจให้ผู้อื่นกระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใดโดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกายและเสรีภาพ ถือได้ว่าเป็นข้อความในกระบวนพิจารณาคดีในศาลของคู่ความเพื่อประโยชน์แก่คดีของตน จึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 331 และกรณีเป็นการใช้สิทธิทางศาลดังกล่าวแล้ว ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยกระทำโดยไม่สุจริต จึงถือไม่ได้ด้วยว่าเป็นการใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อสุดท้ายว่า คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่สั่งคืนค่าขึ้นศาลให้แก่โจทก์ชอบหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้มีคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญารวมอยู่ด้วย จึงเป็นหน้าที่ของศาลจะต้องสั่งเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมไว้ในคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 167 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 40 เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328 และยกคำขอในส่วนแพ่ง เท่ากับศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาในคดีส่วนแพ่งแล้ว ต่อมาโจทก์อุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์กลับคำสั่งศาลชั้นต้นที่ยกฟ้องในความผิดฐานหมิ่นประมาท เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนในความผิดฐานนี้ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ก็เท่ากับศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาในคดีส่วนแพ่งเช่นกัน การที่ศาลล่างทั้งสองมีคำพิพากษาแล้วไม่ได้สั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมไว้ จึงเป็นการไม่ชอบตามบทบัญญัติดังกล่าว แต่คดีนี้มิใช่กรณีศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องของโจทก์แล้วมีเหตุให้มีคำสั่งไม่รับคำฟ้องโจทก์ตั้งแต่ต้นอันจะทำให้ศาลมีคำสั่งคืนค่าขึ้นศาลทั้งหมดให้แก่โจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 151 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 40 ศาลฎีกาจึงเห็นควรแก้ไขให้ถูกต้องเป็นว่า ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ให้เป็นพับ ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ