คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7124/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ระหว่างดำเนินการจัดตั้งบริษัท อ. ร่วมกันนั้น จำเลย โจทก์ร่วม กับพวก ได้ตกลงกันให้ดำเนินการในนามของห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. (ซึ่งเป็นห้างเดิมของจำเลย) และ บริษัท ศ. ไปพลางก่อน โดยให้จำเลยเปิดบัญชีในนามของห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. และมอบอำนาจให้โจทก์ร่วมเบิกถอนเงินได้แต่เพียงผู้เดียว ขณะอยู่ระหว่างดำเนินการจัดตั้งบริษัท ได้มีการจำหน่ายสินค้าในนามของห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. ไป แต่เช็คถึงกำหนดชำระหลังจากจดทะเบียนบริษัท เรียบร้อยแล้ว จำเลยนำเช็คเข้าบัญชีห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. โดยที่โจทก์ร่วมและผู้ถือหุ้นคนอื่นไม่ยินยอมโดยอ้างว่าเพื่อ ชดใช้ค่าวัสดุอุปกรณ์สำนักงานและเครื่องมือแพทย์ของจำเลยที่นำมาลงทุนไว้ในบริษัท เมื่อพิจารณาตามข้อตกลง ที่ว่าจำเลยเป็นเพียงผู้ลงหุ้นด้วยแรงงานเท่านั้น ข้ออ้างดังกล่าวจึงไม่มีเหตุผลที่จะรับฟัง เมื่อเงินส่วนนี้เป็นเงินที่ได้จากการขายสินค้าก่อนที่จะมีการจดทะเบียนบริษัท จึงเป็นของโจทก์ร่วม การที่จำเลยเบียดบังยักยอกเอาเงินดังกล่าวไปเสียโจทก์ร่วมจึงเป็นผู้เสียหาย มีอำนาจร้องทุกข์ดำเนินคดีแก่จำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา ๓๕๒, ๘๓ และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ ๒,๐๓๘,๐๐๐ บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นายไพฑูรย์ ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๓๕๒ วรรคแรก จำคุก ๑ ปี ๖ เดือน ให้จำเลยคืนเงินจำนวน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท แก่โจทก์ร่วม คำขออื่นให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ โดยอธิบดีอัยการเขต ๗ ซึ่งได้รับมอบหมายจากอัยการสูงสุดรับรองให้โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์ภาค ๗ พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์ โจทก์ร่วมและจำเลยมิได้โต้แย้งกันฟังได้ยุติว่า เมื่อประมาณต้นปี ๒๕๓๗
โจทก์ร่วม นายแพทย์กฤษดา และนายธงชัย ฝ่ายหนึ่ง กับจำเลยและนายอิสรา อีกฝ่ายหนึ่ง ได้ร่วมลงทุน จัดตั้งบริษัท เอ แอนด์ เมดิคอล ซัพพลายส์ จำกัด มีวัตถุประสงค์จำหน่ายเครื่องมือแพทย์ โดยโจทก์ร่วมกับพวกลงทุนด้วยเงินสดคนละ ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนจำเลยและนายอิสราลงทุนด้วยแรงงาน เพราะเป็นผู้มีความชำนาญในการ ติดต่อซื้อขายมาก่อนระหว่างดำเนินการจัดตั้งบริษัทได้ตกลงกันให้ดำเนินการในนามของห้างหุ้นส่วนจำกัด สุธี เอ็นเตอร์ไพร์ส ของจำเลย และบริษัทศรีสุนทร จำกัด ของนายอิสรา ซึ่งเปิดดำเนินการอยู่ก่อนแล้ว แต่เงินที่ได้จากการขายสินค้าให้ตกเป็นของบริษัท เอ แอนด์ เอ เมดิคอลซัพพลายส์ จำกัด เช็คที่จ่ายเป็นค่าสินค้าให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัด สุธี เอนเตอร์ไพร์สให้จำเลยนำเข้าบัญชีเงินฝากของห้างที่ธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาอ้อมน้อย โดยให้โจทก์ร่วม มีอำนาจเบิกถอนได้แต่เพียงผู้เดียว ต่อมาโจทก์ร่วมตรวจสอบพบว่าได้มีการขายสินค้าไปเป็นเงินประมาณ ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามรายการขายสินค้า แต่มิได้มีการนำเช็คของลูกค้าเข้าบัญชีตามที่ตกลงกัน กลับนำไปเข้าบัญชีของห้างหุ้นส่วนจำกัดสุธี เอนเตอร์ไพร์ส ที่ธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขารามอินทรา กม.๑๐ โจทก์ร่วมจึงแจ้งความร้องทุกข์ คงมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และโจทก์ร่วมว่า โจทก์ร่วมเป็นผู้เสียหายหรือไม่ และจำเลยกระทำผิดตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษาหรือไม่ ซึ่งเห็นสมควรวินิจฉัยไปพร้อมกัน จำเลยนำสืบสอดคล้องกับที่โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบว่า เนื่องจากผู้ซื้อสินค้าส่วนใหญ่เป็นส่วนราชการซึ่งจะออกเช็คขีดคร่อมระบุชื่อผู้ขาย จำเลยจึงเปิดบัญชีในนาม ห้างหุ้นส่วนจำกัดสุธี เอนเตอร์ไพร์ส ที่ธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาอ้อมน้อย และมอบอำนาจให้โจทก์ร่วมเบิกถอนได้แต่เพียงผู้เดียว ขณะอยู่ระหว่างดำเนินการจัดตั้งบริษัทนั้น ได้มีการจำหน่ายสินค้าในนามของห้างเดิมไปก่อนแล้วจริง ซึ่งต่อมาจึงได้มีการจดทะเบียนบริษัทในเดือนกรกฎาคม ๒๕๓๗ หลังจากจดทะเบียนบริษัทแล้วประมาณ ๓ เดือน ได้ดำเนินกิจการค้าขายเป็นเงินประมาณ ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท ถึง ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท สำหรับสินค้าที่ขายไปหลังจากที่เข้าร่วมหุ้นกับโจทก์ร่วมแล้ว เมื่อเช็คของลูกค้าที่สั่งจ่ายถึงกำหนด จำเลยได้ขอต่อกรรมการบริษัทเพื่อทดแทนวัสดุอุปกรณ์สำนักงานและอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ที่จำเลยนำมาลงทุนไว้ในบริษัท แต่กรรมการไม่ยินยอม จำเลยเห็นว่าไม่ถูกต้องจึงนำเช็คเข้าบัญชีของบริษัทศรีสุนทร จำกัด และของห้างเดิมของจำเลยจึงเห็นได้ว่าการกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นไปโดย ที่โจทก์ร่วมและผู้ถือหุ้นคนอื่นไม่ยินยอมด้วยทั้งตามข้อตกลงจำเลยเพียงเป็นผู้ลงหุ้นด้วยแรงงานเท่านั้น ที่จำเลยอ้างว่าเพื่อชดใช้ค่าวัสดุอุปกรณ์และเครื่องมือแพทย์ที่จำเลยนำมาลงทุนไว้ในบริษัทจึงไม่มีเหตุผลที่จะรับฟัง เงินส่วนนี้เป็นเงินที่ขายสินค้าได้ก่อนที่จะมีการจดทะเบียนบริษัท จึงเป็นของโจทก์ร่วม การที่จำเลยเบียดบังยักยอกเอาเงิน ดังกล่าวเสีย โจทก์ร่วมจึงเป็นผู้เสียหาย มีอำนาจร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยได้ ฎีกาของโจทก์ในข้อนี้ฟังขึ้น ไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ร่วมต่อไปว่าโจทก์ร่วมร้องทุกข์ในฐานะผู้ถือหุ้นคนหนึ่งเอาคดีขึ้นว่ากรณีที่บริษัท ไม่ยอมฟ้องร้องหรือไม่…
พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๓๕๒ วรรคแรก ให้จำคุก ๑ ปี ๖ เดือน ให้จำเลยคืนเงินจำนวน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท แก่โจทก์ร่วม คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก .

Share