คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6404/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การรับสภาพหนี้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/14 (1) ลูกหนี้จะต้องมีเจตนาจะใช้หนี้นั้นต่อเจ้าหนี้โดยไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆ
ตามรายงานประจำวันธุรการจำเลยยอมรับเพียงว่า จำเลยได้ว่าจ้างโจทก์ก่อสร้างอาคารพาณิชย์กึ่งที่พักอาศัยจริง แต่จำเลยปฏิเสธการชำระเงินค่าจ้างงวดที่ 2 ให้แก่โจทก์ เอกสารดังกล่าวจึงไม่เป็นหนังสือรับสภาพหนี้ที่จำเลยให้ไว้แก่โจทก์และไม่ทำให้อายุความสิทธิเรียกร้องเงินค่าจ้างก่อสร้างงวดที่ 2 ซึ่งถึงกำหนดชำระสะดุดหยุดลง เมื่อโจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดค่าจ้างก่อสร้างเกินกำหนด 2 ปีตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/34 (7) สิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่มีต่อจำเลยจึงขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงินจำนวน ๓๒๐,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงิน ๓๒๐,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๓๙) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๒ ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ ให้เป็นพับ
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๔ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ ๑ ด้วย ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า เมื่อวันที่ ๒ มกราคม ๒๕๓๗ จำเลยทั้งสองได้ว่าจ้างโจทก์ก่อสร้างอาคารพาณิชย์กึ่งที่พักอาศัย ๒ ชั้นครึ่ง จำนวน ๔ ห้อง ลงในที่ดินโฉนดเลขที่ ๘๔๓ ในราคา ๑,๖๐๐,๐๐๐ บาท กำหนดส่งมอบงานให้แล้วเสร็จภายใน ๑๘๐ วัน นับแต่วันทำสัญญา ตกลงแบ่งชำระค่าจ้างเป็น ๔ งวด งวดที่ ๑ ถึงที่ ๓ ชำระงวดละ ๓๒๐,๐๐๐ บาท งวดที่ ๔ ชำระจำนวน ๖๔๐,๐๐๐ บาทเมื่อก่อสร้างเสร็จแล้ว หลังจากทำสัญญาโจทก์ส่งมอบงานงวดที่ ๑ และจำเลยทั้งสองได้ชำระค่าจ้างจำนวน ๓๒๐,๐๐๐ บาท ให้โจทก์แล้ว ต่อมาโจทก์ส่งมอบงานงวดที่ ๒ ให้จำเลยทั้งสองตรวจรับเรียบร้อยแล้ว จำเลยทั้งสองจะต้องชำระค่าจ้างงวดที่ ๒ ในวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๗ แต่จำเลยทั้งสองไม่ชำระค่าจ้างให้โจทก์ วันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๓๘ โจทก์และจำเลยที่ ๑ ได้ให้ถ้อยคำไว้ต่อพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรอำเภอพังโคน ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า รายงานประจำวันธุรการดังกล่าวเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ของจำเลยที่ ๑ ต่อโจทก์หรือไม่ เห็นว่า การรับสภาพหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๙๓/๑๔ (๑) ลูกหนี้จะต้องมีเจตนาจะใช้หนี้นั้นต่อเจ้าหนี้โดยไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆ แต่ตามรายงานประจำวันธุรการมีข้อความว่า โจทก์ได้อ้างว่าจำเลยทั้งสองทำสัญญาว่าจ้างโจทก์ปลูกสร้างอาคารโดยตกลงว่า จะชำระค่าจ้างก่อสร้างให้โจทก์รวม ๔ งวด ซึ่งได้ชำระงวดที่ ๑ ให้แล้ว ยังคงค้างค่าจ้างงวดที่ ๒ แต่จำเลยที่ ๑ อ้างว่า ได้ตกลงกับจำเลยที่ ๒ ว่าการจ่ายเงินค่าจ้างแต่ละงวด จำเลยทั้งสองจะต้องชำระคนละครึ่ง ซึ่งจำเลยที่ ๑ ได้ชำระงวดที่ ๑ และงวดที่ ๒ รวมเป็นเงิน ๓๒๐,๐๐๐ บาท ให้แก่โจทก์แล้ว ส่วนจำเลยที่ ๒ ยังไม่ได้ชำระทั้งสองงวด การที่โจทก์เรียกร้องให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงินงวดที่ ๒ อีก จำเลยที่ ๑ ขอปฏิเสธ จึงเป็นการยอมรับเพียงว่า จำเลยที่ ๑ ได้ว่าจ้างโจทก์ก่อสร้างอาคารพาณิชย์กึ่งที่พักอาศัยจริง แต่จำเลยที่ ๑ ปฏิเสธการชำระเงินค่าจ้างงวดที่ ๒ ให้แก่โจทก์ เอกสารดังกล่าวจึงไม่เป็นหนังสือรับสภาพหนี้ที่จำเลยที่ ๑ ให้ไว้แก่โจทก์ และไม่ทำให้อายุความสิทธิเรียกร้องเงินค่าจ้างก่อสร้างงวดที่ ๒ ซึ่งถึงกำหนดชำระวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๗ สะดุดหยุดลง เมื่อโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ ๑ รับผิดค่าจ้างก่อสร้างเป็นคดีนี้เมื่อวันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๓๙ จึงเกินกำหนด ๒ ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๙๓/๓๔ (๗) สิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่มีต่อจำเลยที่ ๑ ย่อมขาดอายุความ จำเลยที่ ๑ ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๔ พิพากษายกฟ้องโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ ๑ ด้วยนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share