แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ปรับปรุงระบบการทำงานแล้วลดจำนวนพนักงานที่ไม่จำเป็นลงรวมทั้งจำเลยซึ่งเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานที่เกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้องด้วย การที่โจทก์เลิกจ้างจำเลยในระหว่างที่ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลบังคับ เนื่องจากต้องการปรับปรุงระบบการทำงาน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการแข่งขันด้านธุรกิจมีความเจริญก้าวหน้าและกำไรมากขึ้นดังกล่าว มิใช่ความจำเป็นที่มิอาจหลีกเลี่ยงหรือแก้ไขเพื่อให้กิจการดำรงอยู่ต่อไปได้ไม่เข้าข้อยกเว้นตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518มาตรา 123 จึงเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม แม้โจทก์ได้จ่ายค่าชดเชยสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยให้แก่จำเลยตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานและตามข้อบังคับการทำงานครบถ้วนแล้ว ก็เป็นเงินที่นายจ้างต้องจ่ายให้แก่ลูกจ้างในการเลิกจ้างกรณีปกติมิใช่เป็นการจ่ายค่าเสียหายเนื่องจากการกระทำอันไม่เป็นธรรมแก่จำเลย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 13 เป็นลูกจ้างของโจทก์ เมื่อวันที่ 1 มีนาคม2542 โจทก์เลิกจ้างจำเลยที่ 13 กับพวก รวม 6 คน โดยจ่ายค่าชดเชยสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี และค่าชดเชยพิเศษตามระเบียบข้อบังคับการทำงาน ให้แก่จำเลยที่ 13 กับพวกแล้ว เหตุที่เลิกจ้างจำเลยที่ 13 เนื่องจากเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2541 โจทก์ได้นำเครื่องคอมพิวเตอร์ระบบเอสเอพี มาใช้ในสำนักงานแทนระบบเดิมจึงมีความจำเป็นต้องลดจำนวนพนักงานลง ต่อมาเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2542 และวันที่ 1 มีนาคม2542 จำเลยที่ 13 กับพวก รวม 3 คน ได้กล่าวหาโจทก์ต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ว่าการที่โจทก์เลิกจ้างจำเลยที่ 13 กับพวกดังกล่าวเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม จำเลยที่ 1 ถึงที่ 12 ในฐานะกรรมการแรงงานสัมพันธ์มีคำวินิจฉัยว่าโจทก์เลิกจ้างจำเลยที่ 13 ผู้เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานของพนักงานบริษัทคอลเกตปาล์มโอลีฟ (ประเทศไทย)จำกัด และเลิกจ้างในระหว่างข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลใช้บังคับและจำเลยที่ 13 ไม่ได้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ มาตรา 123(1) ถึง (5) การเลิกจ้างดังกล่าวจึงเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม และมีคำสั่งให้โจทก์จ่ายค่าเสียหายให้แก่จำเลยที่ 13 ภายใน 10 วัน ตามคำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ที่ 328 ถึง 330/2542 โจทก์เห็นว่าคำวินิจฉัยของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 12ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์เลิกจ้างจำเลยที่ 13 เนื่องจากโจทก์ต้องการปรับปรุงหน่วยงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น มิใช่เลิกจ้างเพราะเหตุจำเลยที่ 13 เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานหรือเกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้องและข้อเรียกร้องที่สหภาพแรงงานยื่นต่อโจทก์เมื่อวันที่ 12 มกราคม2541 นั้น เป็นข้อเรียกร้องที่เกี่ยวข้องกับพนักงานที่ทำงานในส่วนของโรงงานเท่านั้น จำเลยที่ 13 เป็นพนักงานที่ทำงานประจำสำนักงานไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้องและไม่มีบทบาทใด ในกระบวนการแรงงานจึงไม่ได้รับการคุ้มครองตามมาตรา 123 แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์นอกจากนี้การที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 12 มีคำสั่งให้โจทก์จ่ายค่าเสียหายให้แก่จำเลยที่ 13 อีกนั้นเป็นการจ่ายซ้ำซ้อน ขอให้เพิกถอนคำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ที่ 328 ถึง 330/2542 ลงวันที่ 26พฤษภาคม 2542 และหากศาลเห็นว่าเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม ก็ขอให้ลดจำนวนค่าเสียหายลงด้วย
จำเลยทั้งสิบสามให้การทำนองเดียวกันว่า จำเลยที่ 13 สมัครเข้าเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานของพนักงานบริษัทคอลเกตปาล์มโอลีฟ(ประเทศไทย) จำกัด เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2541สหภาพแรงงานดังกล่าวยื่นข้อเรียกร้องต่อโจทก์ เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2541 ต่อมาข้อเรียกร้องดังกล่าวสามารถตกลงกันได้และได้ทำบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2541 มีผลใช้บังคับ 3 ปี นับแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์2541 ถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2544 โจทก์เลิกจ้างจำเลยที่ 13 เมื่อวันที่ 1มีนาคม 2542 ดังนั้น การที่จำเลยที่ 13 เข้าเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานดังกล่าวก่อนที่สหภาพแรงงานจะยื่นข้อเรียกร้องจึงถือว่าจำเลยที่ 13มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้องดังกล่าวแล้ว และเป็นการเลิกจ้างในระหว่างข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลใช้บังคับ เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 13กระทำผิดตามอนุมาตรา 1 ถึงอนุมาตรา 5 ของมาตรา 123 แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 ซึ่งเป็นข้อยกเว้นให้โจทก์สามารถเลิกจ้างลูกจ้างได้โดยชอบ การเลิกจ้างจำเลยที่ 13 ดังกล่าวจึงเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมที่โจทก์อ้างว่าเหตุเลิกจ้างจำเลยที่ 13เนื่องจากมีความจำเป็นต้องแข่งขันทางธุรกิจ จึงต้องปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีให้มีความทันสมัย โดยนำเครื่องคอมพิวเตอร์ระบบเอสเอพี มาใช้แทนระบบเดิมนั้นไม่ใช่เหตุผลที่จะหยิบยกมาอ้างเพื่อเลิกจ้างจำเลยที่ 13 ได้ และที่อ้างว่าจำเลยที่ 13 เป็นลูกจ้างประจำสำนักงานไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้องนั้น รับฟังไม่ได้ เพราะจำเลยที่ 13 เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานก่อนที่สหภาพแรงงานจะยื่นข้อเรียกร้องจึงเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้องด้วยตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1062/2525 ที่โจทก์อ้างว่าได้จ่ายค่าชดเชยรวมทั้งเงินส่วนอื่น ๆ ให้แก่จำเลยที่ 13 ตามกฎหมายครบถ้วนแล้ว และไม่ควรจ่ายเงินเพิ่มเพราะการกระทำอันไม่เป็นธรรมอีกนั้นรับฟังไม่ได้ เพราะกรณีนี้เป็นการจ่ายค่าเสียหายจากการกระทำอันไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งต่างหากจากพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 จำเลยที่ 1 ถึงที่ 12 จึงเห็นว่าการกระทำของโจทก์เป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์พ.ศ. 2518 มาตรา 123 และมีคำสั่งให้โจทก์จ่ายค่าเสียหายให้แก่จำเลยที่ 13จำนวน 152,885 บาท คำวินิจฉัยของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 12 ชอบด้วยเหตุผลและกฎหมายแล้วไม่มีเหตุเพิกถอนคำสั่ง ขอให้ยกฟ้อง และจำเลยที่ 13ขอให้โจทก์ชดใช้ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของเงินที่ได้รับตามคำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ นับถัดจากวันที่มีคำสั่งเป็นต้นไป
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 13 เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานก่อนที่สหภาพแรงงานจะยื่นข้อเรียกร้อง และเมื่อข้อเรียกร้องสามารถตกลงกันได้ และทำบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างไว้แล้ว ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างย่อมใช้บังคับแก่พนักงานของโจทก์ทุกคน จำเลยที่ 13 จึงเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้องดังกล่าวด้วย สำหรับบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 123 มุ่งมิให้นายจ้างกลั่นแกล้งลูกจ้าง แม้จะได้กำหนดเหตุแห่งการเลิกจ้างไว้เพียง 5 ประการ แต่ก็มิได้หมายความว่าเมื่อนายจ้างมีเหตุจำเป็นนอกเหนือจากเหตุผลจ้างดังกล่าวแล้วนายจ้างจะเลิกจ้างลูกจ้างซึ่งเกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้องไม่ได้ โดยไม่คำนึงถึงฐานะและสภาพทางเศรษฐกิจหรือความจำเป็นของนายจ้างประการอื่นที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงหรือแก้ไขได้ ข้อเท็จจริงปรากฏว่าโจทก์ต้องการพัฒนาระบบสารสนเทศโดยเตรียมการที่จะนำระบบคอมพิวเตอร์เอสเอพีมาใช้ปฏิบัติงานสารสนเทศแทนระบบเดิม โดยมีศูนย์อำนวยการด้านข้อมูลภาคเอเซียแปซิฟิกที่ประเทศมาเลเซีย ทำให้งานของฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศไม่มีความจำเป็นต้องทำในประเทศไทยต่อไป ศูนย์อำนวยการสารสนเทศที่ประเทศมาเลเซีย กำหนดให้โจทก์มีพนักงานเพียง 6 คนจากเดิม 13 คน โจทก์จึงเลิกจ้างพนักงานในฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศจำนวน 6 คน ที่เกินความจำเป็นซึ่งรวมถึงจำเลยที่ 13 ด้วย และโจทก์ไม่มีตำแหน่งอื่นที่เหมาะสมแก่ความรู้ความสามารถของจำเลยที่ 13อีกทั้งโจทก์ได้จ่ายค่าชดเชยสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าชดเชยพิเศษให้แก่จำเลยที่ 13 ตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน และตามข้อบังคับการทำงานครบถ้วนแล้ว การเลิกจ้างจำเลยที่ 13 จึงเป็นกรณีที่มีเหตุผลและเป็นการสมควร มิใช่เป็นการกลั่นแกล้งอันจะถือได้ว่าเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมดาตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์พ.ศ. 2518 มาตรา 123 พิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ที่ 328 ถึง 330/2542 ลงวันที่ 26 พฤษภาคม 2542
จำเลยทั้งสิบสามอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “สำหรับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1ถึงที่ 12 ที่ว่า การที่โจทก์เลิกจ้างจำเลยที่ 13 เป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมหรือไม่นั้น เห็นว่า แม้พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 123จะกำหนดเหตุแห่งการเลิกจ้างไว้เพียง 5 ประการ แต่ก็มิได้หมายความว่าเมื่อมีเหตุผลจำเป็นนอกเหนือไปจากเหตุ 5 ประการดังกล่าวแล้วจะเลิกจ้างลูกจ้างซึ่งเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานและอยู่ในระหว่างข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลใช้บังคับไม่ได้ โดยไม่คำนึงถึงฐานะและสภาพทางเศรษฐกิจตลอดจนความจำเป็นของนายจ้างประการอื่นที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงหรือแก้ไขได้เสียเลย เช่น กรณีที่นายจ้างประสบภาวะขาดทุนมีหนี้สินมากมายจนไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้อย่างปกติ กิจการหยุดชะงักงันโดยสิ้นเชิงจนต้องยุบหน่วยงานหรือเลิกกิจการแล้วจะให้นายจ้างต้องจ้างลูกจ้างอยู่ตลอดไปจนนายจ้างประสบความหายนะหรือล้มละลาย่อมเป็นไปไม่ได้ในกรณีดังกล่าวนายจ้างย่อมเลิกจ้างลูกจ้างที่เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานและอยู่ในระหว่างข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลใช้บังคับได้ โดยไม่ถือว่าเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518มาตรา 123 เช่นเดียวกัน แต่ความสำคัญอยู่ที่ว่าความจำเป็นของนายจ้างประการอื่นที่จะอ้างขึ้นเป็นเหตุเลิกจ้างลูกจ้างได้โดยไม่ถือว่าเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมดังกล่าวนั้นจะต้องเป็นความจำเป็นที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงหรือแก้ไขได้ด้วย คดีนี้ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 13 เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานซึ่งเกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้องและถูกโจทก์เลิกจ้างในระหว่างที่ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลใช้บังคับ ส่วนเหตุที่ถูกเลิกจ้างเนื่องจากโจทก์นำเครื่องคอมพิวเตอร์ระบบเอสเอพี มาใช้ปฏิบัติงานสารสนเทศแทนระบบเดิมเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการแข่งขันด้านธุรกิจ จึงมีความจำเป็นต้องลดจำนวนพนักงานที่ไม่จำเป็นลงบางส่วนรวมทั้งจำเลยที่ 13 ด้วย เห็นว่า แม้โจทก์จะไม่ได้กลั่นแกล้งจำเลยที่ 13 เพราะเมื่อโจทก์ปรับปรุงระบบการทำงานดังกล่าวแล้วจำเป็นต้องลดจำนวนพนักงานที่ไม่จำเป็นลงบางส่วนรวมทั้งจำเลยที่ 13 ด้วย และไม่มีตำแหน่งอื่นที่เหมาะสมกับความรู้ความสามารถของจำเลยที่ 13 โจทก์จึงจำเป็นต้องเลิกจ้างจำเลยที่ 13ก็ตาม แต่ขณะที่โจทก์เลิกจ้างจำเลยที่ 13 นั้น โจทก์ก็ยังดำเนินกิจการได้เป็นปกติ มิได้ประสบภาวะขาดทุนหรือประสบปัญหาอื่นใดจนไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้หากมิได้ทำการปรับปรุงระบบการทำงานจนต้องลดจำนวนพนักงานลงดังกล่าวแต่อย่างใด แต่กลับปรากฏว่าโจทก์เลิกจ้างจำเลยที่ 13 เนื่องจากต้องการปรับปรุงระบบการทำงานเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการแข่งขันด้านธุรกิจหรืออีกนัยหนึ่งคือเพื่อให้กิจการของโจทก์เจริญก้าวหน้ามากขึ้นและมีกำไรมากขึ้นนั่นเองแม้ว่าโจทก์จำเป็นต้องเลิกจ้างจำเลยที่ 13 ก็ตาม แต่มิใช่ความจำเป็นที่มิอาจหลีกเลี่ยงหรือแก้ไขได้เพื่อให้กิจการของโจทก์ดำรงอยู่ต่อไปได้กรณีไม่เข้าข้อยกเว้นตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518มาตรา 123 ดังนั้นการที่โจทก์เลิกจ้างจำเลยที่ 13 จึงเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518มาตรา 123 แม้โจทก์ได้จ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยพิเศษให้แก่จำเลยที่ 13 ตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานและตามข้อบังคับการทำงานครบถ้วนแล้วก็ตามก็เป็นเงินต่าง ๆ ที่นายจ้างต้องจ่ายให้แก่ลูกจ้างในการเลิกจ้างกรณีปกติมิใช่เป็นการจ่ายค่าเสียหายเนื่องจากการกระทำอันไม่เป็นธรรมแก่จำเลยที่ 13แต่อย่างใด ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ที่ 328 ถึง 330/2542 ลงวันที่ 26 พฤษภาคม 2542 นั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 12 ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง