คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3898/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้เป็นรัฐวิสาหกิจ จำเลยเป็นพนักงานประจำป่าหมวดทำไม้ มีอำนาจหน้าที่ควบคุมการทำไม้สัมปทานและควบคุมการทำไม้นอกโครงการและไม้ของกลางในคดีนี้ มีอำนาจหน้าที่ดูแลรักษาและจัดการ เสนอความเห็นหาตัวผู้รับจ้างเกี่ยวกับไม้ที่รับมอบไว้จำเลยใช้อำนาจ ในหน้าที่แสวงหาผลประโยชน์โดยทุจริต โดยจัดการรับชักลากและขนไม้ของกลาง ซึ่งตนเองมีหน้าที่ดูแลรักษาดังกล่าวไปแล้ว ทำการขายไปโดยมิได้ขออนุมัติผู้บังคับบัญชาก่อน อันเป็นการฝ่าฝืนระเบียบและเกินอำนาจหน้าที่ของตน ทำให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ได้รับความเสียหาย ขาดราคาค่าไม้ของกลางที่ควรจะได้ไป เช่นนี้จำเลยจึงมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐฯ มาตรา 8

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยซึ่งเป็นพนักงานองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ ตำแหน่งพนักงานประจำป่าหมวดทำไม้สุราษฎร์ธานี มีอำนาจหน้าที่ตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาให้ควบคุมทำไม้สัมปทานในเขตท้องที่จังหวัดชุมพร จำเลยมีอำนาจหน้าที่ดูแลรักษาจัดการเสนอความเห็นหาตัวผู้รับจ้างชักลากและจำหน่ายไม้ของกลาง คดีนี้ได้บังอาจปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต ใช้อำนาจหน้าที่เบียดบังชักลากจำหน่ายไม้ขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ให้แก่ผู้มีชื่อไปโดยทุจริต เป็นการเสียหายแก่องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๐๒ มาตรา ๔, ๘, ๑๑ และนับโทษจำเลยต่อด้วย
จำเลยให้การปฏิเสธแต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐฯ มาตรา ๘ ให้จำคุก ๕ ปี และนับโทษจำเลยต่อตามที่โจทก์ขอ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีฟังได้ว่าองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้เป็นรัฐวิสาหกิจโดยรัฐบาลเป็นผู้ออกทุน จำเลยเป็นพนักงานประจำป่าหมวดทำไม้สุราษฎร์ธานีมีอำนาจหน้าที่ควบคุมการทำไม้ สัมปทานและควบคุมการทำไม้นอกโครงการและไม้ของกลางในท้องที่จังหวัดชุมพร มีอำนาจหน้าที่ดูแลรักษาและจัดการเสนอความเห็นหาตัวผู้รับจ้างเกี่ยวกับไม้ที่รับมอบมาดังที่โจทก์ฟ้องและนำสืบมาจริงสำหรับปัญหาที่ว่าจำเลยได้ใช้อำนาจในหน้าที่โดยทุจริตเบียดบังชักลากไม้และจำหน่ายไม้ของกลางจำนวน ๒๒ ท่อน ปริมาตร ๓๐.๙๘ ลูกบาศก์เมตรให้แก่ผู้มีชื่อ เป็นเหตุให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ได้รับความเสียหายดังโจทก์ฟ้องหรือไม่พยานหลักฐานโจทก์มีนายมงคล สุวรรณโสภณ เบิกความเป็นพยานโจทก์ว่าไม้ของกลางจำนวน ๒๒ ท่อน ปริมาตร ๓๐.๙๘ ลูกบาศก์เมตร องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ได้รับซื้อมาจากสำนักงานป่าไม้จังหวัดชุมพร เมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๑๙ ตามใบเสร็จรับเงินเอกสารหมาย ป.จ.๓ เมื่อจำเลยรับมาแล้ว จำเลยจะต้องเสนอความเห็นว่าควรลากขนไม้ที่ใดเพราะตามระเบียบห้ามทำการขายในจังหวัดนั้นแล้วเสนอความเห็นว่าควรขายให้ผู้ใดและราคาเท่าใด โดยจะต้องทำบันทึกเสนอตามลำดับจนถึงหัวหน้าส่วนแต่ความจริงปรากฏว่าไม้จำนวนนี้หลังจากที่จำเลยรับมาแล้วในวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ จำเลยได้ไปยื่นคำร้องขอใบเบิกทางจากอำเภอปะทิว ตามเอกสารหมาย ป.จ.๑ ขอนำไม้เคลื่อนที่จากหน่วย ชพ.๑ ตำบลดอนยาง อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร ไปที่ตลาดอำเภอปราณบุรี ตำบลปราณบุรีจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ทางอำเภอปะทิวได้ออกใบเบิกทางให้ตามเอกสารหมาย จ.๑ ถึง จ.๕ และนายเอก ผาสุข ได้ซื้อไว้จากผู้นำมาขายในราคาลูกบาศก์เมตรละ ๘๐๐ บาท รวมกับไม้อื่นที่ขนมาด้วยในคราวเดียวกันเป็นเงินทั้งสิ้น ๔๐,๐๐๐ บาทเศษหลังจากนั้นจำเลยจึงได้ทำบันทึกลงวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๑๙ ถึงนายวิชิต ลำเลียงพลหัวหน้างานทำไม้สุราษฎร์ธานีผู้บังคับบัญชาของจำเลยขออนุญาตจ้างนายพินิจ ทองสกุล ขนไม้ของกลางรายนี้จากที่เก็บไปเก็บรักษาไว้ ณ ที่หมอนไม้ตำบลเขาตีนเป็ด อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในราคาลูกบาศก์เมตรละ ๔๐ บาท และเมื่อถึงหมอนแล้วนายพินิจขอซื้อคืนจากองค์การฯ ในราคาลูกบาศก์เมตรละ ๙๔.๐๘ บาท หรือ ๓๒.๙๐ เปอร์เซ็นต์ ขอให้อนุมัติค่าจ้างจำนวน ๑,๒๓๙.๒๐ บาท และรายงานฝ่ายทำไม้ภาคตะวันตกและใต้เพื่อจำหน่ายให้นายพินิจต่อไป การที่จำเลยชักลากไม้ไปก่อนและทำการขายไปก่อนโดยจำเลยไม่ได้ขออนุมัติก่อนจึงเป็นการฝ่าฝืนระเบียบที่องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้วางไว้ ซึ่งตามคำเบิกความของนายมงคลเองก็ยืนยันว่าจำเลยเองไม่มีอำนาจขอใบเบิกทางด้วย ไม้ของกลางจำเลยพานายยี่ นายพินิจ มาขอซื้อในราคาลูกบาศก์เมตรละ ๓๘๐ บาท แต่ในขณะเดียวกันผู้ที่รับซื้อจากผู้ที่จำเลยพามากลับซื้อในราคาถึงลูกบาศก์เมตรละ ๘๐๐ บาท ย่อมเห็นได้ว่าองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ย่อมได้รับความเสียหายขาดราคาที่ควรจะได้ไป การที่จำเลยจัดการรีบขนไม้ไปและขายไปก่อนโดยผิดระเบียบและเกินอำนาจหน้าที่ ส่อให้เห็นเจตนาของจำเลยว่าจำเลยใช้อำนาจในหน้าที่แสวงหาผลประโยชน์โดยทุจริต จำเลยจึงมีความผิดตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย ที่จำเลยอ้างว่า นายวิชิต นายประสิทธิ์เห็นชอบให้จำเลยขายไม้ไปก่อนได้ ก็เป็นแต่เพียงคำกล่าวอ้างลอย ๆ หากเป็นจริงอย่างจำเลยว่า คดีก็คงจะไม่เกิดขึ้น และนายวิชิตคงไม่ร้องเรียนกล่าวโทษจำเลย ที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยมิได้กระทำผิดนั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับให้ลงโทษและนับโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share