แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามสำเนาทะเบียนบ้านปรากฏชื่อนาย ด. เป็นหัวหน้าครอบครัว นาง จ. เป็นภรรยา ส่วนผู้ร้องเป็นบุตรของนาย ด. กับนาง จ. สำเนาทะเบียนบ้านดังกล่าวเป็นเอกสารมหาชนที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ทำขึ้นจึงต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นของแท้จริงและถูกต้อง เมื่อโจทก์มิได้นำสืบหักล้างให้เห็นว่าข้อความตามที่ได้ระบุไว้นั้นไม่ถูกต้อง จึงรับฟังได้ว่าผู้ร้องเป็นบุตรของนาย ด.
เมื่อนาย ด. ถึงแก่ความตาย ผู้ร้องซึ่งเป็นบุตรของนาย ด. อันมีฐานะเป็นทายาทโดยธรรม จึงเป็นทายาทผู้หนึ่งที่มีสิทธิได้รับมรดกเรือยนต์ของกลาง แม้จะปรากฏว่านาย ด. มีบุตรอื่นอีกหลายคน ก็ต้องถือว่าผู้ร้องมีสิทธิรับมรดกร่วมเป็นเจ้าของเรือยนต์ของกลางด้วยผู้หนึ่ง ดังนั้น ผู้ร้องจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสีย มีสิทธิยื่นคำร้องขอคืนเรือยนต์ของกลางได้
เมื่อจำเลยทั้งสองได้กระทำความผิดโดยนำเรือประมงเข้าไปจับปลาในเขตหวงห้าม แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าเรือประมงที่ใช้ในการกระทำความผิดมิได้เป็นของจำเลยทั้งสองแต่เป็นของผู้ร้องและผู้ร้องก็มิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดดังกล่าว ศาลจึงมีอำนาจสั่งให้คืนเรือของกลางได้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตาม พ.ร.บ. การประมง พ.ศ. 2490 มาตรา 4, 33, 60, 65, 69, 70, 71 และริบของกลาง ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้องและริบเรือยนต์พร้อมเครื่องมืออวนลากกับสัตว์น้ำรวม 15 กิโลกรัม ของกลาง
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เรือยนต์พร้อมอุปกรณ์การทำประมงของกลาง โดยผู้ร้องได้รับมรดกมาจากนายดลหล้า บิดาผู้ร้อง ต่อมาวันที่ 1 มกราคม 2540 ผู้ร้องให้จำเลยที่ 1 เช่าเรือยนต์ลำดังกล่าวไปทำการประมงมีกำหนด 1 ปี จำเลยทั้งสองนำเรือยนต์พร้อมอุปกรณ์ไปใช้ในการกระทำความผิด โดยผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจ ขอให้คืนเรือยนต์ของกลางแก่ผู้ร้อง
โจทก์ยื่นคำคัดค้าน ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ววินิจฉัยว่า ผู้ร้องไม่ใช่เจ้าของเรือยนต์ของกลาง จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับให้คืนเรือยนต์ของกลางพร้อมอุปกรณ์การทำประมงแก่ผู้ร้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยข้อแรกว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของเรือยนต์ของกลางหรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า นายดลหล้าซึ่งเป็นเจ้าของเรือยนต์ของกลางถึงแก่ความตายไปก่อนเกิดเหตุ สำเนาทะเบียนบ้าน ปรากฏชื่อ นายดลหล้า นางเจ๊ะน๊ะ และผู้ร้องอยู่ในบ้านเดียวกันโดยระบุความเกี่ยวพันของบุคคลในบ้านกับหัวหน้าครอบครัวคือนายดลหล้าไว้ว่า นายเจ๊ะน๊ะเป็นภรรยา ส่วนผู้ร้องเป็นบุตร และระบุในช่องมารดาบิดาผู้ให้กำเนิดว่า ผู้ร้องมีมารดาชื่อเจ๊ะน๊ะ บิดาชื่อดลหล้า สำเนาทะเบียนบ้านดังกล่าวเป็นเอกสารมหาชนที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ทำขึ้นจึงต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นของแท้จริงและถูกต้อง เมื่อโจทก์มิได้นำสืบหักล้างให้เห็นว่าข้อความตามที่ได้ระบุไว้นั้นไม่ถูกต้องจึงรับฟังได้ว่า ผู้ร้องเป็นบุตรของนายดลหล้าและมีฐานะเป็นทายาทโดยธรรม เมื่อนายดลหล้าถึงแก่ความตายผู้ร้องจึงเป็นทายาทผู้หนึ่งที่มีสิทธิได้รับมรดกเรือยนต์ของกลาง แม้ตามสำเนาทะเบียนบ้านจะปรากฏว่านายดลหล้ามีบุตรอื่นอีกหลายคน ก็ต้องถือว่าผู้ร้องมีสิทธิรับมรดกร่วมเป็นเจ้าของเรือยนต์ของกลางด้วยผู้หนึ่ง ดังนั้น ผู้ร้องจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสีย มีสิทธิยื่นคำร้องขอคืนเรือยนต์ของกลางคดีนี้ได้
การที่จำเลยทั้งสองนำเรือประมงของกลางเข้าไปจับปลาในเขตหวงห้าม แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าของเรือประมงของกลางดังกล่าวมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำผิด จึงสมควรคืนเรือยนต์ของกลางให้ผู้ร้องไปศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาให้คืนเรือยนต์ของกลางแก่ผู้ร้องชอบแล้ว
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้คืนแต่เฉพาะเรือยนต์ของกลางแก่ผู้ร้อง