คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7114/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้โจทก์ไม่ได้ระบุหมายเลขคดีที่โจทก์ขอนับโทษจำเลยต่อก็ตาม แต่โจทก์สามารถแถลงให้ศาลทราบได้ในภายหลังเมื่อข้อเท็จจริงในรายงานการสืบเสาะและพินิจของพนักงานคุมประพฤติ ปรากฏว่าจำเลยถูกฟ้องอีกคดีตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1021/2543 ของศาลชั้นต้น จำเลยไม่คัดค้านเท่ากับจำเลยรับว่าเป็นบุคคลเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อศาลชั้นต้นจึงให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีก่อนได้
การกระทำของจำเลยเป็นการซื้อสิทธิเลือกตั้งโดยให้ผลประโยชน์ตอบแทนเป็นเงิน เป็นการแทรกแซงกระบวนการเลือกตั้งให้ไม่เป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรมเกิดความเสียหายไม่เพียงแต่ผู้สมัครรับเลือกตั้งรายอื่น แต่ยังเป็นการทำลายหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตยและหากมีการซื้อสิทธิเลือกตั้งแล้วได้เข้ามาเป็นตัวแทนของประชาชนในการปกครองบ้านเมืองก็น่าเชื่อว่าจะเกิดปัญหาการฉ้อราษฎร์บังหลวงแสวงหาผลประโยชน์เพื่อตนเองและพวกพ้องอีกต่อไป อันเป็นการบ่อนทำลายความมั่นคงของสังคมและประเทศชาติอีกด้วย ตามพฤติการณ์จึงเป็นเรื่องร้ายแรง ไม่สมควรที่จะรอการลงโทษให้จำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ด้วยมีประกาศองค์การบริหารส่วนตำบลหล่มเก่าให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลหล่มเก่าในวันที่ 10 มิถุนายน 2543 โดยในเขตหมู่ที่ 7 ตำบลหล่มเก่าอำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ นายทวีศักดิ์ บุญยืน ผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลหล่มเก่า ได้หมายเลขประจำตัวผู้สมัครรับเลือกตั้งหมายเลข 4 เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2543เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยมอบเงินสดจำนวน 100 บาท ให้แก่นายวัลลภ จันทร์อ่อน ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตหมู่ที่ 7 ดังกล่าวข้างต้น เพื่อจูงใจให้นายวัลลภลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่นายทวีศักดิ์ผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลหล่มเก่าหมายเลข 4 จำเลยเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ /2543 ของศาลชั้นต้น ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2542มาตรา 25 พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลพ.ศ. 2482 มาตรา 64 เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของจำเลยมีกำหนดเวลา 8 ปี และนับโทษจำเลยต่อจากโทษของจำเลยในคดีดังกล่าวข้างต้น

จำเลยให้การรับสารภาพ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2542มาตรา 25 พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาตำบล (ที่ถูกพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล) พ.ศ. 2482มาตรา 64 จำคุก 8 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 4 เดือน เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของจำเลยมีกำหนดเวลา 8 ปี นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1021/2543 หมายเลขแดงที่ 1130/2543 ของศาลชั้นต้น

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พ.ศ. 2482มาตรา 64 ประกอบพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2542 มาตรา 25 ไม่นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1021/2543 หมายเลขแดงที่ 1130/2543 ของศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย จำเลยฎีกาโดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายขอให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาของศาลชั้นต้นอีกคดีหนึ่งนั้นเห็นว่า โจทก์ได้บรรยายฟ้องไว้แล้วว่า จำเลยเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาอีกคดีหนึ่งที่ฟ้องมาพร้อมกัน ขอให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาดังกล่าว เพียงแต่โจทก์มิได้ระบุหมายเลขคดีไว้เท่านั้น เนื่องจากโจทก์ยังไม่ทราบหมายเลขคดีจนกว่าโจทก์จะได้ยื่นฟ้องต่อศาลชั้นต้นแล้ว โจทก์จึงไม่อาจระบุหมายเลขคดีไว้ในคำฟ้องคดีนี้ได้ แต่โจทก์สามารถแถลงให้ศาลทราบได้ในภายหลังก่อนศาลมีคำพิพากษา ซึ่งคดีนี้ศาลชั้นต้นมิได้มีคำพิพากษาในคดีทั้งสองเรื่องในวันที่โจทก์ยื่นฟ้องแต่ได้นัดฟังคำพิพากษาในวันอื่นเนื่องจากได้สั่งให้พนักงานคุมประพฤติสืบเสาะและพินิจจำเลยก่อนมีคำพิพากษาและข้อเท็จจริงที่ได้จากรายงานการสืบเสาะและพินิจจำเลยของพนักงานคุมประพฤติ ซึ่งศาลชั้นต้นให้คู่ความทราบแล้วคู่ความไม่ติดใจคัดค้านปรากฏว่าจำเลยถูกดำเนินคดีในความผิดต่อพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1021/2543 ของศาลชั้นต้น เท่ากับจำเลยยอมรับข้อเท็จจริงในข้อที่ว่าจำเลยเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อตามรายงานดังกล่าวและถือได้ว่าศาลชั้นต้นทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องที่จำเลยถูกฟ้องเป็นอีกคดีหนึ่งตามคำฟ้องของโจทก์แล้ว เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาในคดีนี้ภายหลังจากที่มีคำพิพากษาในอีกคดีหนึ่งแล้ว ศาลชั้นต้นย่อมนับโทษจำเลยต่อจากโทษในอีกคดีหนึ่งนั้นได้ ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 ไม่นับโทษจำเลยต่อให้ตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ จึงเป็นการไม่ชอบฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น

ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษนั้น เห็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นการทำลายหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตยซึ่งให้ประชาชนปกครองตนเองโดยผ่านกระบวนการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรม เลือกแต่คนดีมีความรู้ความสามารถและมีความซื่อสัตย์สุจริตมาพัฒนาบ้านเมือง การที่จำเลยให้เงินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพื่อจูงใจให้ลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่ผู้ที่จำเลยต้องการให้ได้รับเลือกตั้งเป็นการซื้อสิทธิเลือกตั้งโดยให้ผลประโยชน์ตอบแทนเป็นเงิน การกระทำดังกล่าวจึงเป็นการแทรกแซงกระบวนการเลือกตั้งให้ไม่เป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม เกิดความเสียหายไม่เพียงแต่ต่อผู้สมัครรับเลือกตั้งรายอื่น แต่ยังเป็นการทำลายหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตยและหากมีการซื้อสิทธิเลือกตั้งแล้วได้เข้ามาเป็นตัวแทนของประชาชนในการปกครองบ้านเมืองก็น่าเชื่อว่าจะเกิดปัญหาการฉ้อราษฎร์บังหลวงแสวงหาผลประโยชน์เพื่อตนเองและพวกพ้องอีกต่อไป อันเป็นการบ่อนทำลายความมั่นคงของสังคมและประเทศชาติอีกด้วย ตามพฤติการณ์จึงเป็นเรื่องร้ายแรง ไม่สมควรที่จะรอการลงโทษให้จำเลย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น แต่อย่างไรก็ดี คดีนี้จำเลยให้เงินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพียง1 คน และนายทวีศักดิ์ บุญยืน ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นหลานของจำเลยทั้งไม่ได้รับการเลือกตั้ง ที่ศาลล่างทั้งสองวางโทษจำคุกจำเลย 8 เดือนก่อนลดโทษนั้นหนักเกินไป สมควรกำหนดโทษจำเลยเสียใหม่ให้เบาลงเพื่อให้เหมาะสมแก่สภาพความผิด”

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำคุกจำเลย 4 เดือน เมื่อลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุก 2 เดือน ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นโทษกักขังแทนตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 23 และนับโทษกักขังของจำเลยคดีนี้ต่อจากโทษกักขังของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1130/2543 ของศาลชั้นต้นนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6

Share