แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องโจทก์บรรยายว่า โจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 117 ตำบลม่วงสามสิบอำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานีเนื้อที่ 2 งาน 84 ตารางวา โดย อ. ยกให้เมื่อ พ.ศ. 2512 ต่อมาเมื่อประมาณ พ.ศ. 2529 โจทก์ได้รังวัดสอบเขตจึงทราบว่าสิ่งปลูกสร้างอาทิเช่น ฉางข้าวที่ปลูกอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 2372ตำบลม่วงสามสิบอำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ได้ปลูกรุกล้ำแนวเขตที่ดินของโจทก์ ทำให้โจทก์ใช้ประโยชน์ในที่ดินส่วนนั้นไม่ได้ โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้ศาลบังคับจำเลยรื้อถอนขนย้ายสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำแนวเขตที่ดินโฉนดเลขที่ 117 ของโจทก์ ห้ามเกี่ยวข้องกับที่ดินส่วนดังกล่าวและให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เป็นรายเดือนในอัตราเดือนละ1,000 บาท ฟ้องโจทก์ดังกล่าวได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้วฟ้องโจทก์เกี่ยวกับค่าเสียหายจึงไม่เคลือบคลุม ในชั้นอุทธรณ์โจทก์อุทธรณ์ว่า การจะได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 นั้นผู้ครอบครอง (จำเลย)จะต้องรู้ว่าทรัพย์สินที่ได้ครอบครองนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้อื่น (โจทก์) ครั้นเมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า ทรัพย์สินที่ครอบครองนั้นต้องเป็นทรัพย์สินของผู้อื่น แต่หาจำต้องเป็นการครอบครองโดยรู้ว่าเป็นที่ดินของบุคคลอื่นไม่ โจทก์กลับฎีกาว่า การที่จะได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของผู้อื่นนั้น จะต้องครอบครองทรัพย์สินนั้นโดยสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของแต่ตามพฤติการณ์การครอบครองของจำเลยมิได้เป็นเช่นนั้น คือทั้งโจทก์และจำเลยต่างฝ่ายต่างหวงห้ามต่อกันโดยอ้างว่าตนเป็นเจ้าของ ดังนั้น จะถือว่าจำเลยครอบครองโดยสงบมิได้ และการที่จำเลยปลูกฉางข้าวลงในที่ดินของโจทก์โดยมิได้รับอนุญาตจะถือว่าจำเลยปลูกโรงเรือนโดยสุจริตมิได้ ทั้งการครอบครองของจำเลยยังไม่ถึง 10 ปีจำเลยจึงยังไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์นั้น เป็นการยกเหตุอื่นขึ้นมาเป็นข้ออ้างในชั้นฎีกา ฎีกาของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ภาค 1ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 117ตำบลม่วงสามสิบ อำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี เนื้อที่2 งาน 84 ตารางวา โดยนายอิ่น ยลพันธ์ ยกให้เมื่อ พ.ศ. 2512เมื่อประมาณ พ.ศ. 2529 โจทก์ได้รังวัดสอบเขต จึงทราบว่าสิ่งปลูกสร้างอาทิเช่น ฉางข้าว ซึ่งปลูกสร้างอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 2372 ตำบลม่วงสามสิบ อำเภอม่วงสามสิบจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ได้ปลูกรุกล้ำแนวเขตที่ดินของโจทก์ ดังปรากฏตามแผนที่สังเขปเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 ทำให้โจทก์ใช้ประโยชน์ในที่ดินส่วนนั้นไม่ได้ โจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำออกไป แต่จำเลยเพิกเฉย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนขนย้ายสิ่งปลูกสร้างที่ได้ปลูกสร้างรุกล้ำแนวเขตที่ดินโฉนดเลขที่117 ตำบลม่วงสามสิบ อำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานีของโจทก์ออกเสียทั้งหมด ห้ามเกี่ยวข้องในที่ดินส่วนนั้นอีกต่อไปและให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นรายเดือนในอัตราเดือนละ 1,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนขนย้ายเสร็จ
จำเลยให้การต่อสู้คดีและฟ้องแย้งว่า จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ ขอให้ยกฟ้อง และพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นที่ดินของจำเลย ห้ามโจทก์และบริวารเข้าเกี่ยวข้อง
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินของจำเลย ห้ามโจทก์และบริวารเข้าเกี่ยวข้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยข้อแรกมีว่าฟ้องโจทก์เกี่ยวกับค่าเสียหายเคลือบคลุมหรือไม่พิเคราะห์แล้วฟ้องโจทก์บรรยายว่า โจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 117ตำบลม่วงสามสิบ อำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี เนื้อที่ประมาณ 2 งาน 84 ตารางวา โดยนายอิ่น ยลพันธ์ ยกให้เมื่อพ.ศ. 2512 ต่อมาเมื่อประมาณ พ.ศ. 2529 โจทก์ได้รังวัดสอบเขตจึงทราบว่าสิ่งปลูกสร้างอาทิเช่นฉางข้าวที่ปลูกอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 2372 ตำบลม่วงสามสิบ อำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานีซึ่งจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ได้ปลูกรุกล้ำแนวเขตที่ดินของโจทก์ทำให้โจทก์ใช้ประโยชน์ในที่ดินส่วนนั้นไม่ได้ โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้ศาลบังคับจำเลยรื้อถอนขนย้ายสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำแนวเขตที่ดินโฉนดเลขที่ 117 ของโจทก์ ห้ามเกี่ยวข้องกับที่ดินส่วนดังกล่าว และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เป็นรายเดือนในอัตราเดือนละ 1,000 บาท ฟ้องโจทก์ดังกล่าวได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว ฟ้องโจทก์เกี่ยวกับค่าเสียหายจึงไม่เคลือบคลุม
ที่โจทก์ฎีกาว่า การที่จะได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของผู้อื่นนั้น จะต้องครอบครองทรัพย์สินนั้นโดยสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ แต่ตามพฤติการณ์การครอบครองของจำเลยมิได้เป็นเช่นนั้นคือทั้งโจทก์และจำเลยต่างฝ่ายต่างหวงห้ามต่อกันโดยอ้างว่าตนเป็นเจ้าของ ดังนั้น จะถือว่าจำเลยครอบครองโดยสงบมิได้ และการที่จำเลยปลูกฉางข้าวลงในที่ดินของโจทก์โดยมิได้รับอนุญาตจะถือว่าจำเลยปลูกโรงเรือนโดยสุจริตมิได้ ทั้งการครอบครองของจำเลยยังไม่ถึง 10 ปี จำเลยจึงยังไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์นั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ในชั้นอุทธรณ์โจทก์อุทธรณ์ว่า การจะได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 นั้น ผู้ครอบครอง (จำเลย) จะต้องรู้ว่าทรัพย์สินที่ได้ครอบครองนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้อื่น (โจทก์) ครั้นเมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า ทรัพย์สินที่ครอบครองนั้นต้องเป็นทรัพย์สินของผู้อื่น แต่หาจำต้องเป็นการครอบครองโดยรู้อยู่ว่าเป็นที่ดินของบุคคลอื่นไม่ โจทก์กลับยกเหตุอื่นขึ้นมาเป็นข้ออ้างในชั้นฎีกา ฎีกาของโจทก์จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ภาค 1 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายืน