คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7082/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้คำให้การของจำเลยที่ว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าโจทก์ถูกแย่งการครอบครองและไม่ได้ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่ดินพิพาทภายใน 1 ปี ไม่มีอำนาจฟ้อง จะเป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้งเพราะขัดกับคำให้การในตอนแรกที่ว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย จึงไม่ทำให้คดีมีประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่ดินพิพาทภายใน 1 ปี นับแต่เวลาที่ถูกแย่งการครอบครองหรือไม่ แต่ก็ต้องถือว่าคำให้การของจำเลยดังกล่าวมีอยู่หรือจำเลยได้ให้การไว้ ต่อมาในวันชี้สองสถานจำเลยได้แถลงขอสละข้อต่อสู้ที่ว่า โจทก์เป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่ จึงต้องถือว่าคำให้การหรือข้อต่อสู้ของจำเลยในเรื่องดังกล่าวมิได้มีอยู่อีกต่อไป และประเด็นเรื่องที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือของจำเลยเป็นอันยุติ กรณีจึงไม่มีเหตุที่ทำให้คำให้การของจำเลยที่ว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า โจทก์ถูกแย่งการครอบครองและไม่ได้ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน 1 ปี ไม่มีอำนาจฟ้อง เป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้งอีกต่อไป ที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่ดินพิพาทภายใน 1 ปี นับแต่เวลาที่ถูกแย่งการครอบครองหรือไม่ และพิจารณาพิพากษาคดีไปตามประเด็นดังกล่าวโดยไม่กำหนดข้อพิพาทว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือของจำเลยจึงถูกต้องแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายและเป็นผู้จัดการมรดกของนายบุญมา เกษมวัน ซึ่งถึงแก่ความตายไปแล้วเดิมที่ดินมือเปล่าแปลงพิพาทเนื้อที่ประมาณ 16 ไร่ 1 งานเป็นของนายบุญมา บิดาโจทก์ นายบุญมาได้จัดสรรแบ่งที่ดินออกเป็น2 ส่วน ส่วนหนึ่งให้บุคคลทั่วไปเช่าปลูกสร้างอาคารเพื่อทำการค้าหรืออยู่อาศัย อีกส่วนหนึ่งให้บริวารใช้ปลูกบ้านและได้ยื่นคำขอออกโฉนดที่ดินไว้ จำเลยเป็นผู้เช่าที่ดินดังกล่าวส่วนพิพาทเนื้อที่ประมาณ60 ตารางวา เพื่ออยู่อาศัยมีกำหนด 10 ปี ตกลงให้ค่าเช่าปีละ1,000 บาท แล้วจำเลยได้ปลูกสร้างอาคารลงในที่ดินพิพาทและชำระค่าเช่าเรื่อยมาจนกระทั่งนายบุญมาถึงแก่ความตายจำเลยก็ไม่ชำระค่าเช่า นอกจากนี้จำเลยยังได้ยื่นคำคัดค้านการขอออกโฉนดที่นายบุญมาทำไว้อ้างว่าเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทอันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างพร้อมขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทและส่งมอบคืนให้โจทก์ในสภาพที่เรียบร้อย ห้ามไม่ให้เกี่ยวข้องกับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ 3,000 บาท นับแต่เดือนกันยายน2539 จนกว่าจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างพร้อมขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทและส่งมอบคืนให้โจทก์

จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยได้มาโดยการซื้อจากผู้มีชื่อเมื่อปี 2511 พร้อมตึกแถว ซื้อแล้วจำเลยก็เข้าครอบครองทำประโยชน์โดยสงบ โดยเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเรื่อยมา นายบุญมาได้นำสัญญาเช่าที่ดินพิพาทมาให้จำเลยลงลายมือชื่ออ้างว่าเป็นเจ้าของ จำเลยหลงเชื่อจึงได้ลงลายมือชื่อให้ไปต่อมาเมื่อจำเลยทราบว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่ายังไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของ จำเลยจึงไม่จ่ายค่าเช่าและได้บอกเลิกการเช่าไปยังนายบุญมา อย่างไรก็ตามหากจะฟังว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์โจทก์ถูกจำเลยแย่งการครอบครองแล้วนับแต่วันที่จำเลยได้บอกเลิกการเช่าและไม่จ่ายค่าเช่าให้นายบุญมา อันถือได้ว่าจำเลยได้บอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือไปยังนายบุญมาแล้วว่าจำเลยจะยึดถือเพื่อตน เมื่อโจทก์มิได้ฟ้องเอาคืนการครอบครองภายใน 1 ปี และนำคดีมาฟ้องโดยมิได้บอกกล่าวให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาท โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง และค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องสูงเกินความจริง ขอให้ยกฟ้อง

วันชี้สองสถาน จำเลยขอสละข้อต่อสู้ในประเด็นที่ว่า โจทก์เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่ และโจทก์บอกกล่าวให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาทแล้วหรือไม่

ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า โจทก์ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่ดินพิพาทภายใน 1 ปี นับแต่เวลาที่ถูกแย่งการครอบครองหรือไม่ กับโจทก์เสียหายหรือไม่ เพียงใดและพิจารณาคดีไปตามประเด็นดังกล่าวแล้ววินิจฉัยว่า ปี 2530หลังจากทางราชการได้ฟ้องขับไล่นายบุญมาแล้ว ประชาชนและจำเลยเห็นว่านายบุญมาไม่ใช่เจ้าของที่ดินพิพาทจึงไปคัดค้านการขอออกโฉนดของนายบุญมาและไม่ชำระค่าเช่าให้นายบุญมาพฤติการณ์ดังกล่าวเชื่อได้ว่าจำเลยโต้แย้งสิทธิของนายบุญมาโดยอ้างความเป็นเจ้าของในที่ดินพิพาทถือได้ว่าจำเลยได้บอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือเพื่อเอาที่ดินพิพาทเป็นของตน อันเป็นการแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากนายบุญมาแล้วตั้งแต่จำเลยไปคัดค้านการขอออกโฉนดและไม่ชำระค่าเช่าก่อนที่นายบุญมาจะถึงแก่ความตาย โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายบุญมาเพิ่งฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองในปี 2539 เกิน 1 ปี นับแต่ถูกแย่งการครอบครองจึงหมดสิทธิฟ้องเอาคืน พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่า จำเลยให้การในตอนแรกว่าซื้อที่ดินพิพาทมาจากผู้มีชื่อเมื่อปี 2511 แม้จำเลยจะให้การด้วยว่าได้ลงลายมือชื่อในสัญญาเช่าที่ดินพิพาทกับนายบุญมาบิดาโจทก์แต่จำเลยก็ยังยืนยันกับโจทก์และทายาทของนายบุญมาว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย จึงเป็นกรณีที่จำเลยให้การต่อสู้คดีว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย ฉะนั้น ที่จำเลยให้การในตอนหลังว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า โจทก์ถูกแย่งการครอบครองและไม่ได้ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน 1 ปี ไม่มีอำนาจฟ้อง จึงเป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้ง เพราะขัดกับคำให้การในตอนแรกที่ว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย คำให้การของจำเลยตอนหลังจึงเป็นคำให้การที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสอง ไม่อาจยกขึ้นเป็นประเด็นข้อพิพาทได้ที่ศาลชั้นต้นกำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทและพิพากษาไปตามนั้นจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 183กับการที่ศาลชั้นต้นไม่วินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทที่ว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือของจำเลยเป็นการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243(1) โดยศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่วินิจฉัยประเด็นเรื่องโจทก์ฟ้องเอาคืนการครอบครองที่ดินพิพาทภายใน 1 ปี นับแต่เวลาที่ถูกแย่งการครอบครองหรือไม่ แต่วินิจฉัยประเด็นเรื่องที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือของจำเลยกับประเด็นเรื่องค่าเสียหาย แล้วฟังว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ โจทก์ได้รับความเสียหายปีละ 1,000 บาท พิพากษากลับให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างพร้อมขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทห้ามไม่ให้เกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทอีก กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ปีละ 1,000 บาท นับแต่เดือนกันยายน 2539 จนกว่าจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายออกไป

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าการที่จำเลยสละข้อต่อสู้ในประเด็นที่ว่าโจทก์ไม่ได้เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทนั้น ทำให้คดีมีประเด็นข้อพิพาทว่า โจทก์ฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน 1 ปี นับแต่เวลาที่ถูกแย่งการครอบครองตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้หรือไม่ เห็นว่า แม้คำให้การของจำเลยในตอนหลังที่ว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าโจทก์ถูกแย่งการครอบครองและไม่ได้ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่ดินพิพาทภายใน 1 ปี ไม่มีอำนาจฟ้อง จะเป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้งเพราะขัดกับคำให้การในตอนแรกที่ว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยจึงไม่ทำให้คดีมีประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่ดินพิพาทภายใน 1 ปี นับแต่เวลาที่ถูกแย่งการครอบครองหรือไม่ แต่ก็ต้องถือว่าคำให้การของจำเลยดังกล่าวมีอยู่หรือจำเลยได้ให้การไว้และคดีนี้มีการชี้สองสถานโดยปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ 29 พฤศจิกายน2539 ว่าในวันชี้สองสถานศาลชั้นต้นได้ตรวจคำฟ้องคำให้การและได้สอบถามโจทก์จำเลย ซึ่งน่าเชื่อว่าเป็นการสอบถามถึงข้ออ้างข้อเถียงตามคำฟ้อง คำให้การ อันเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 183 วรรคหนึ่งซึ่งโจทก์จำเลยสามารถแถลงรับหรือปฏิเสธได้ เมื่อปรากฏว่าจำเลยได้แถลงขอสละข้อต่อสู้ที่ว่า โจทก์เป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่ จึงต้องถือว่าคำให้การหรือข้อต่อสู้ของจำเลยในเรื่องดังกล่าวมิได้มีอยู่อีกต่อไปและประเด็นเรื่องที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือของจำเลยเป็นอันยุติ กรณีจึงไม่มีเหตุที่ทำให้คำให้การของจำเลยที่ว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า โจทก์ถูกแย่งการครอบครองและไม่ได้ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน 1 ปี ไม่มีอำนาจฟ้องเป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้งอีกต่อไป ที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่ดินพิพาทภายใน 1 ปีนับแต่เวลาที่ถูกแย่งการครอบครองหรือไม่ และพิจารณาพิพากษาคดีไปตามประเด็นดังกล่าว โดยไม่กำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือของจำเลยจึงถูกต้องแล้ว ศาลอุทธรณ์ภาค 3ชอบที่จะพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดคดีไปตามประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่วินิจฉัยประเด็นดังกล่าว กลับไปวินิจฉัยประเด็นเรื่องที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือของจำเลยซึ่งยุติไปแล้วจึงเป็นการไม่ถูกต้อง กรณีสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3พิพากษาใหม่ ฎีกาจำเลยฟังขึ้น”

พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3วินิจฉัยประเด็นเรื่องโจทก์ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่ดินพิพาทภายใน 1 ปี นับแต่เวลาที่ถูกแย่งการครอบครองหรือไม่ แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share