แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์ครั้งที่หนึ่งเมื่อวันที่19สิงหาคม2537ขอขยายระยะเวลามีกำหนด15วันนับแต่วันที่ยื่นคำร้องจึงครบกำหนดเวลาที่ได้อนุญาตวันที่3กันยายน2537ซึ่งเป็นวันเสาร์หยุดราชการแม้จำเลยจะมีสิทธิยื่นคำร้องขอเป็นครั้งที่สองในวันที่5กันยายน2537อันเป็นวันที่เริ่มทำการใหม่ได้ก็ตามแต่การนับระยะเวลาที่จะขอขยายออกไปต้องนับต่อจากวันสุดท้ายที่ครบกำหนดระยะเวลาเดิมคือเริ่มนับ1ตั้งแต่วันที่4กันยายน2537เมื่อขอขยายเวลาอีก15วันจึงครบกำหนดในวันที่18กันยายน2537ซึ่งเป็นวันอาทิตย์หากจำเลยประสงค์จะขยายระยะเวลาวางเงินออกไปอีกก็ต้องยื่นคำร้องขอในวันจันทร์ที่19กันยายน2537ซึ่งเป็นวันที่ศาลเริ่มทำการใหม่การที่จำเลยยื่นคำร้องขอครั้งที่สามเมื่อวันที่20กันยายน2537จึงล่วงพ้นกำหนดระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นขยายให้แล้วทั้งคำร้องก็มิได้แสดงเหตุว่ามีเหตุสุดวิสัยที่มิอาจยื่นคำร้องก่อนสิ้นกำหนดเวลาดังกล่าวกรณีจึงไม่มีเหตุที่จะขยายระยะเวลาตามคำร้องขอครั้งที่สามได้การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตตามคำร้องขอครั้งที่สามของจำเลยทั้งสองจึงเป็นกรณีที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการพิจารณาศาลฎีกาให้ยกคำสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมครั้งที่สามของศาลชั้นต้นนั้นเสีย
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้เงินกู้พร้อมดอกเบี้ย จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้ว่าหนี้ตามสัญญากู้ได้หักกลบลบกันไปหมดแล้ว ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2537 ให้จำเลยที่ 1 ใช้เงินให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ย หากไม่ชำระให้จำเลยที่ 2 ชำระแทน
วันที่ 19 สิงหาคม 2537 จำเลยทั้งสองยื่นอุทธรณ์และยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์ครั้งที่หนึ่งมีกำหนด 15 วัน นับแต่วันที่ยื่นคำร้อง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
วันที่ 5 กันยายน 2537 จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์ครั้งที่สองออกไปอีกมีกำหนด 15 วัน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
ต่อมาวันที่ 20 กันยายน 2537 ทนายจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอเป็นครั้งที่สามอ้างว่า จำเลยทั้งสองได้ส่งเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์โดยทางธนาณัติมาให้แก่ทนายจำเลยทั้งสองแล้ว แต่ยังส่งมาไม่ถึง ประกอบกับทนายจำเลยทั้งสองต้องเดินทางไปว่าความที่กรุงเทพมหานคร ขอขยายระยะเวลาวางเงินอีก 11 วัน นับแต่วันยื่นคำร้องศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฝ่ายจำเลยขออนุญาตขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาลเป็นครั้งที่สามแล้ว นัดนี้อนุญาตให้ตามขอเป็นครั้งสุดท้ายหากไม่วางเงินในกำหนด ถือว่าทิ้งอุทธรณ์
เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2537 จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินออกไปอีกเป็นครั้งที่สี่มีกำหนด 4 วัน อ้างว่าทนายจำเลยทั้งสองลืมบัตรประจำตัวประชาชนไว้ที่กรุงเทพมหานคร จึงไปขอรับเงินตามธนาณัติที่จำเลยส่งมาไม่ได้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
จำเลย ทั้ง สอง อุทธรณ์ คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลย ทั้ง สอง ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 23 การขยายหรือย่นระยะเวลาตามที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งนั้น จะกระทำได้ต่อเมื่อมีพฤติการณ์พิเศษ และคู่ความมีคำขอขึ้นมาก่อนสิ้นระยะเวลานั้นเว้นแต่ในกรณีที่มีเหตุสุดวิสัย ข้อเท็จจริงได้ความว่าในการยื่นคำร้องขอครั้งที่หนึ่งเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2537 นั้น จำเลยทั้งสองขอขยายระยะเวลามีกำหนด 15 วัน นับแต่วันที่ยื่นคำร้อง จึงครบกำหนดเวลาที่ได้รับอนุญาตวันที่ 3 กันยายน 2537 ซึ่งเป็นวันเสาร์หยุดราชการ แม้จำเลยจะมีสิทธิยื่นคำร้องขอเป็นครั้งที่สองในวันที่ 5กันยายน 2537 อันเป็นวันที่เริ่มทำการใหม่ได้ก็ตามแต่การนับระยะเวลาที่จะขอขยายออกไปต้องนับต่อจากวันสุดท้ายที่ครบกำหนดระยะเวลาเดิมคือเริ่มนับ 1 ตั้งแต่วันที่ 4 กันยายน 2537เมื่อขอขยายเวลาอีก 15 วัน จึงครบกำหนดในวันที่ 18 กันยายน 2537ซึ่งเป็นวันอาทิตย์ หากจำเลยทั้งสองประสงค์จะขยายระยะเวลาวางเงินออกไปอีกก็ต้องยื่นคำร้องขอในวันจันทร์ที่ 19 กันยายน 2537 ซึ่งเป็นวันที่ศาลเริ่มทำการใหม่ การที่จำเลยยื่นคำร้องขอครั้งที่สามเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2537 จึงล่วงพ้นกำหนดระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นขยายให้แล้ว ทั้งคำร้องก็มิได้แสดงเหตุว่ามีเหตุสุดวิสัยที่มิอาจยื่นคำร้องก่อนสิ้นกำหนดเวลาดังกล่าวแต่อย่างใด กรณีจึงไม่มีเหตุที่จะขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์ตามคำร้องขอครั้งที่สามได้ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตตามคำร้องขอครั้งที่สามของจำเลยทั้งสอง จึงเป็นกรณีที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการพิจารณาเมื่อความปรากฏแก่ศาลฎีกา จึงเห็นสมควรให้ยกคำสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมครั้งที่สามของศาลชั้นต้นฉบับลงวันที่ 20 กันยายน 2537 นั้นเสียเมื่อเป็นดังนี้ คำร้องของจำเลยทั้งสองหลังจากนี้จึงต้องตกไป การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1มีคำวินิจฉัยเกี่ยวกับคำร้องของจำเลยทั้งสองซึ่งตกไปดังกล่าวจึงไม่ชอบจำต้องยกเสีย และไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาจำเลยทั้งสองอีกต่อไป
พิพากษายกฎีกาจำเลยทั้งสอง ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1ที่วินิจฉัยอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยทั้งสองเกี่ยวกับคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์ และยกคำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งตามคำร้องของจำเลยทั้งสองลงวันที่ 20 กันยายน 2537 และวันที่ 3 ตุลาคม 2537 กับให้ยกคำร้องจำเลยทั้งสองลงวันที่ 20กันยายน 2537 คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาและชั้นอุทธรณ์ดังกล่าวทั้งหมดแก่จำเลยทั้งสอง