คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7029/2549

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า เดิมผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินเดิม แบ่งแยกที่ดินดังกล่าวออกเป็น 10 แปลง และปลูกสร้างตึกแถวเป็นอาคารพาณิชย์เพื่อขายให้บุคคลทั่วไป โดยเว้นที่ดินแปลงพิพาทไว้ 1 แปลง สละให้เป็นถนนเชื่อมกับถนนของตลาดสด และศูนย์การค้า ออกสู่ถนน ผู้ซื้ออาคารพาณิชย์และบุคคลทั่วไปใช้ถนนดังกล่าวเป็นทางสัญจรติดต่อกันมาประมาณ 22 ปี โดยไม่มีผู้ใดโต้แย้ง โจทก์ซื้อที่ดินพร้อมอาคารพาณิชย์ที่แบ่งแยกมาจากที่ดินเดิมเมื่อปี 2527 และใช้ที่ดินพิพาทซึ่งอยู่ติดกับที่ดินโจทก์เป็นทางสัญจรตลอดมา โดยสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาใช้เป็นทางสัญจร ติดต่อกันมาเป็นเวลา 12 ปี ที่ดินพิพาทจึงตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินแปลงของโจทก์โดยอายุความ ฟ้องโจทก์จึงแสดงโดยแจ้งชัดถึงสภาพแห่งข้อหา คำขอบังคับ และข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหานั้นแล้ว โจทก์ไม่จำต้องบรรยายว่า ใช้ที่ดินพิพาทเป็นทางสัญจรโดยการเดินเท้าหรือใช้รถยนต์ เพราะเป็นรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
การที่โจทก์เรียกเก็บค่าเช่าแผงสินค้าที่ตั้งอยู่บนที่พิพาทก็เป็นเพราะแผงดังกล่าวตั้งอยู่หน้าที่ดินของโจทก์ และหากผู้เช่าแผงขายสินค้าใช้น้ำประปาและไฟฟ้าจากอาคารพาณิชย์ของโจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกเก็บค่าใช้จ่ายดังกล่าวจากผู้เช่าแผงขายสินค้าได้ เพราะโจทก์ต้องนำไปชำระให้แก่การประปานครหลวง และการไฟฟ้านครหลวงซึ่งเป็นผู้ให้บริการสาธารณูปโภคดังกล่าว สิทธิของโจทก์ดังกล่าวไม่เกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทตามฟ้องโจทก์ว่า ที่ดินพิพาทเป็นทางสาธารณะ หรือเป็นทางภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์หรือไม่ การที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ จึงเป็นการใช้สิทธิโดยสุจริต

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้พิพากษาว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 1589 ตำบลบางซื่อ อำเภอดุสิต (บางซื่อ) กรุงเทพมหานคร เป็นทางสาธารณประโยชน์ตามกฎหมายหรือเป็นทางภาระจำยอมของที่ดินโฉนดเลขที่ 75206 ตำบลบางซื่อ อำเภอดุสิต (บางซื่อ) กรุงเทพมหานคร ให้จำเลยจดทะเบียนทางภาระจำยอมที่ดินโฉนดเลขที่ 1589 ตำบลบางซื่อ อำเภอดุสิต (บางซื่อ) กรุงเทพมหานคร ให้แก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 75206 ของโจทก์ทั้งสอง หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้นายทะเบียนจดทะเบียนทางภาระจำยอมตามคำพิพากษาของศาลให้แก่โจทก์ทั้งสองต่อไป
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 1589 ตำบลบางซื่อ อำเภอดุสิต (บางซื่อ) กรุงเทพมหานคร ตกเป็นภาระจำยอมของที่ดินโฉนดเลขที่ 75206 ตำบลบางซื่อ อำเภอดุสิต (บางซื่อ) กรุงเทพมหานคร ให้จำเลยจดทะเบียนภาระจำยอมในที่ดินดังกล่าวต่อเจ้าพนักงาน หากจำเลยไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์ทั้งสองและจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สำหรับฎีกาของจำเลยในข้อที่ว่าฟ้องโจทก์ทั้งสองเคลือบคลุมนั้น โจทก์ทั้งสองบรรยายฟ้องว่า เดิมผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 1589 ตำบลบางซื่อ อำเภอดุสิต (บางซื่อ) กรุงเทพมหานคร แบ่งแยกที่ดินดังกล่าวออกเป็น 10 แปลง และปลูกสร้างตึกแถวเป็นอาคารพาณิชย์เพื่อขายให้แก่บุคคลทั่วไปโดยเว้นที่ดินพิพาท สละให้เป็นถนนเชื่อมกับถนนของตลาดสดและศูนย์การค้ามณีพิมานออกสู่ถนนสายกรุงเทพ – นนทบุรี ผู้ซื้ออาคารพาณิชย์และบุคคลทั่วไปใช้ถนนดังกล่าวเป็นทางสัญจรติดต่อกันมาประมาณ 22 ปี โดยไม่มีผู้ใดโต้แย้ง โจทก์ทั้งสองซื้อที่ดินพร้อมตึกแถวซึ่งแบ่งแยกมาจากที่ดินแปลงดังกล่าวเมื่อปี 2527 และใช้ที่ดินพิพาทซึ่งอยู่ติดกับที่ดินโจทก์ทั้งสองเป็นทางสัญจรตลอดมาโดยสงบ เปิดเผยด้วยเจตนาใช้เป็นทางสัญจรติดต่อกันมาเป็นเวลา 12 ปี ที่ดินพิพาทจึงตกเป็นทางภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ทั้งสองโดยอายุความ และมีคำขอให้จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทจดทะเบียนภาระจำยอมให้แก่ที่ดินของโจทก์ทั้งสอง จึงเป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดถึงสภาพแห่งข้อหา คำขอบังคับและข้ออ้างอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหานั้นแล้ว โจทก์ทั้งสองไม่จำเป็นต้องบรรยายว่าใช้ที่ดินพิพาทเป็นทางสัญจรโดยการเดินเท้าหรือใช้รถยนต์ซึ่งเป็นรายละเอียดที่โจทก์ทั้งสองสามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณา ฟ้องของโจทก์ทั้งสองจึงไม่เคลือบคลุม ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อต่อไปว่า โจทก์ทั้งสองใช้สิทธิฟ้องคดีนี้โดยสุจริตหรือไม่ จำเลยฎีกาว่าโจทก์ทั้งสองฟ้องคดีนี้เพราะเกรงว่าจะสูญเสียประโยชน์จากการเรียกเก็บค่าเช่าแผงขายสินค้าบนที่ดินของจำเลยข้างอาคารพาณิชย์ของโจทก์ทั้งสองรวมทั้งเสียประโยชน์จากการเรียกเก็บค่าน้ำประปาและค่าไฟฟ้าจากผู้เช่าดังกล่าวนั้น เห็นว่า คำฟ้องโจทก์ทั้งสองก็ระบุว่าที่ดินพิพาทเป็นทางสาธารณะหรือเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ทั้งสอง การที่โจทก์ทั้งสองเรียกเก็บค่าเช่าแผงขายสินค้าที่ตั้งอยู่บนที่ดินพิพาทเพราะแผงดังกล่าวตั้งอยู่หน้าที่ดินของโจทก์ทั้งสอง และหากผู้เช่าแผงขายสินค้าใช้น้ำประปาและไฟฟ้าจากอาคารพาณิชย์ของโจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองย่อมมีสิทธิที่จะเรียกเก็บค่าใช้จ่ายดังกล่าวจากผู้เช่าแผงขายสินค้าได้ เพราะโจทก์ทั้งสองก็ต้องนำไปชำระให้แก่การประปานครหลวงและการไฟฟ้านครหลวง ซึ่งเป็นผู้ให้บริการสาธารณูปโภคดังกล่าว ทั้งข้อเท็จจริงเหล่านี้ไม่เกี่ยวกับประเด็นที่ว่าที่ดินพิพาทเป็นทางสาธารณะหรือเป็นทางภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ทั้งสองหรือไม่ การที่โจทก์ทั้งสองฟ้องคดีนี้จึงเป็นการใช้สิทธิโดยสุจริต ฎีกาของจำเลยข้อนี้จึงฟังไม่ขึ้น…
อนึ่ง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้จำเลยใช้ค่าทนายความในศาลชั้นต้น 5,000 บาท แทนโจทก์ แต่คดีนี้เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ กฎหมายกำหนดค่าทนายความชั้นสูงในศาลชั้นต้นไว้ 3,000 บาท ดังนั้น ค่าทนายความในศาลชั้นต้นที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้จึงไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไข
พิพากษายืน แต่ให้จำเลยใช้ค่าทนายความในศาลชั้นต้น 3,000 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share