แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่โจทก์ฟ้องขอบังคับจำนองอ้างว่าจำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ โดยจดทะเบียนจำนองที่ดินเป็นประกัน แต่ทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยไม่ได้กู้ยืมเงินโจทก์ตามฟ้อง แต่จดทะเบียนจำนองที่ดินเป็นประกันหนี้ของผู้อื่น ไม่ตรงกับที่โจทก์ฟ้อง จึงเป็นเรื่องนอกฟ้องที่ศาลไม่อาจบังคับให้ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 767,000 บาท ให้แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 590,000 บาท นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระ ให้นำที่ดินโฉนดเลขที่ 35961 ตำบลห้วยขะยุง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ออกขายทอดตลาด นำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 751,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 590,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 21 ตุลาคม 2542) ไปจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระ ให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 35961 ตำบลห้วยขะยุง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนจำเลยทั้งสอง โดยกำหนดค่าทนายความรวม 5,000 บาท
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
โจทก์เบิกความตอบคำถามค้านยอมรับว่าได้ลงชื่อในช่องผู้ให้กู้ในสัญญากู้เงิน การที่โจทก์รับจำนองที่ดินของจำเลยทั้งสอง โดยในสัญญาจำนองมีข้อความเพียงว่าให้ถือสัญญาจำนองเป็นสัญญากู้เงินด้วยเท่านั้น แต่โจทก์กลับทำหนังสือสัญญากู้เงินกับนายองอาจมีข้อความรายละเอียดว่าเป็นการกู้เงิน 400,000 บาท ดอกเบี้ยร้อยละ 4 ต่อเดือน เป็นเวลา 12 เดือน รวมเป็นเงิน 592,000 บาท ใกล้เคียงกับยอดเงินจำนอง กับระบุหลักประกันตรงกับสัญญาจำนองของจำเลยทั้งสอง นอกจากนี้ยังมีบันทึกต่อท้าย มีรายการชำระเงิน 12 ครั้ง และนายองอาจเป็นผู้นำเงิน 16,000 บาท มาชำระแก่โจทก์ พฤติการณ์ดังกล่าวมีน้ำหนักให้เชื่อว่านายองอาจเป็นผู้กู้และรับเงินจากโจทก์ แต่นายองอาจไม่มีหลักประกัน จึงได้นำที่ดินของจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นมารดาและพี่สาวมาจำนองเป็นประกันแก่โจทก์ จำเลยทั้งสองมิได้มีเจตนากู้ยืมเงินโจทก์ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า จำเลยทั้งสองมิได้กู้ยืมเงินจากโจทก์ แต่เป็นผู้จำนองที่ดินเป็นประกันหนี้ที่นายองอาจกู้ยืมเงินโจทก์เท่านั้น การที่โจทก์ฟ้องขอบังคับจำนองอ้างว่าจำเลยทั้งสองกู้ยืมเงินโจทก์ โดยจดทะเบียนจำนองที่ดินเป็นประกัน แต่ทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยทั้งสองไม่ได้กู้ยืมเงินโจทก์ตามฟ้อง แต่จดทะเบียนจำนองที่ดินเป็นประกันหนี้ของผู้อื่น ไม่ตรงกับที่โจทก์ฟ้อง เป็นเรื่องนอกฟ้องที่ศาลไม่อาจบังคับให้ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้องโจทก์ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น คดีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ข้ออื่นเพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.