แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยซื้อทรัพย์สินซึ่งติดจำนองมาจากการขายทอดตลาดของศาลในคดีที่บริษัท ธ. ฟ้องเรียกเงินกู้จาก พ. โจทก์ผู้ทรงสิทธิจำนองย่อมมีสิทธิที่จะบังคับเอาแก่ทรัพย์นั้นได้ แต่จำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ในฐานะเป็นผู้จำนอง ฐานะของจำเลยเป็นเพียงผู้รับโอนทรัพย์สินซึ่งจำนองอันมีสิทธิไถ่ถอนจำนอง ซึ่งหากโจทก์ไม่ยอมรับโจทก์ต้องฟ้องคดีต่อศาล เพื่อให้ศาลพิพากษาสั่งขายทอดตลาดทรัพย์สินซึ่งจำนองนั้นตามมาตรา 738 และมาตรา 739 และถ้าจำเลยมิได้ใช้สิทธิเสนอไถ่ถอนจำนองดังกล่าว หากโจทก์จะบังคับจำนองก็ต้องมีจดหมายบอกกล่าวแก่จำเลยจึงจะบังคับจำนองได้ตามมาตรา 735 มิใช่ว่าโจทก์จะอาศัยสิทธิความเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาติดตามบังคับคดีแก่ทรัพย์สินนั้นได้ทันที การที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ขอให้นำทรัพย์สินจำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์ แต่จำเลยมิได้เป็นคู่ความในดคีดังกล่าวและประเด็นแห่งคดีเป็นคนละอย่างกัน กรณีมิใช่เรื่องสืบสิทธิที่จะถือว่าเป็นเรื่องที่คู่ความเดียวกันรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีดังกล่าวตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2534 นางเพ็ญนภาได้ทำสัญญากู้เงินจากโจทก์จำนวน 3,680,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 19 ต่อปี ตกลงชำระต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นรายเดือนไม่ต่ำกว่าเดือนละ 52,600 บาท ทุกวันสิ้นเดือน เริ่มตั้งแต่วันสิ้นเดือนของเดือนที่กู้เป็นต้นไป โดยชำระให้เสร็จสิ้นภายใน 20 ปี นับแต่วันทำสัญญากู้เงิน หากผู้กู้ผิดนัดไม่ชำระงวดหนึ่งงวดใด ยอมให้โจทก์เปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยได้โดยไม่จำต้องแจ้งให้ผู้กู้ทราบล่วงหน้า แต่ไม่เกินอัตราสูงสุดที่กฎหมายให้โจทก์เรียกเก็บได้ และยอมให้โจทก์ฟ้องเรียกต้นเงินและดอกเบี้ยที่ค้างชำระทั้งหมดคืนได้ทันที และหากผิดนัดไม่ชำระดอกเบี้ยเป็นเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งปี ยอมให้โจทก์นำดอกเบี้ยที่ค้างชำระครบหนึ่งปีทบรวมเข้ากับต้นเงินได้ และเพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ที่มีต่อโจทก์ ผู้กู้ได้นำที่ดินโฉนดเลขที่ 86370, 86371 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง จดทะเบียนจำนองแก่โจทก์ในวงเงิน 3,680,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ19 ต่อปี โดยมีข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจำนองว่าหากโจทก์บังคับจำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้ ผู้กู้ยอมรับผิดชำระเงินส่วนที่ขาดจนครบถ้วน นอกจากนั้นผู้กู้ยังสัญญาจะทำประกันภัยทรัพย์ที่จำนองโดยให้โจทก์เป็นผู้รับประโยชน์และผู้กู้เป็นผู้ออกเงินค่าเบี้ยประกันภัยตลอดไปจนกว่าจะชำระหนี้เงินกู้แก่โจทก์จนครบถ้วน หากผู้กู้ไม่ชำระค่าเบี้ยประกันภัยและโจทก์ได้ชำระแทน ผู้กู้ยอมชำระเงินคืนให้โจทก์หรือยอมให้โจทก์ทบเงินค่าเบี้ยประกันภัยรวมเข้ากับต้นเงินกู้ และยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราเดียวกับสัญญากู้ตลอดไปจนกว่าจะชำระหนี้เงินกู้เสร็จสิ้น นับแต่ผู้กู้กู้เงินไปจากโจทก์ได้ค้างชำระหนี้ติดต่อกันหลายงวด โดยชำระครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2535 จำนวน 157,800 บาท โจทก์ได้ฟ้องผู้กู้ต่อศาลแพ่งเป็นคดีหมายเลขแดงที่ 9571/2537 คดีดังกล่าวถึงที่สุด โดยโจทก์และผู้กู้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความให้ผู้กู้ผ่อนชำระหนี้แก่โจทก์ นับถึงวันฟ้องคดีนี้มีหนี้ที่ผู้กู้จะต้องชำระแก่โจทก์เป็นต้นเงินจำนวน 3,750,041.63 บาท ดอกเบี้ยจำนวน 10,387,447.66 บาท ค่าเบี้ยประกันภัยจำนวน 31,951 บาท รวมเป็นเงิน 14,169,440.29 บาท ระหว่างที่ผู้กู้กู้เงินและนำทรัพย์สินมาจำนองแก่โจทก์ ทรัพย์จำนองดังกล่าวได้ถูกเจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้ในคดีหมายเลขแดงที่ 4394/2536 ของศาลแพ่ง ระหว่างบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ธนทุน จำกัด โจทก์ นางเพ็ญนภา กับพวก จำเลย และมีการขายทอดตลาดโดยจำเลยในคดีนี้เป็นผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดในคดีดังกล่าวได้โดยติดจำนอง จำเลยจึงเป็นผู้รับโอนทรัพย์สินซึ่งมีภาระจำนองอยู่แก่โจทก์ โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยชำระหนี้และไถ่ถอนจำนอง แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้ศาลมีคำสั่งให้นำทรัพย์จำนองตามฟ้องออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์จำนวน 14,169,440.29 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 3,750,041.63 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นผู้ซื้อทรัพย์จำนองตามฟ้องโดยติดจำนองจริง โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองตามฟ้องของโจทก์ การคำนวณยอดหนี้ตามฟ้องไม่ถูกต้อง โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยย้อนหลังขึ้นไปเพียงห้าปีเท่านั้น ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้ จึงให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2534 นางเพ็ญนภาได้ทำสัญญากู้เงินไปจากโจทก์และจดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 86370, 86371 ตำบลบางไผ่ (บางเชือกหนังฝั่งใต้) อำเภอภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันไว้แก่โจทก์ ต่อมาโจทก์ได้ฟ้องผู้กู้ต่อศาลแพ่งเป็นคดีหมายเลขแดงที่ 9571/2537 คดีดังกล่าวถึงที่สุดโดยโจทก์และผู้กู้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความให้ผู้กู้ผ่อนชำระหนี้แก่โจทก์ หลังจากที่ผู้กู้กู้เงินและนำทรัพย์สินมาจำนอง ทรัพย์จำนองดังกล่าวถูกเจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้ในคดีหมายเลขแดงที่ 4394/2536 ของศาลแพ่ง ระหว่าง บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ธนทุน จำกัด โจทก์ นางเพ็ญนภา กับพวก จำเลย โดยจำเลยในคดีนี้เป็นผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดในคดีดังกล่าวได้โดยติดจำนอง จำเลยจึงเป็นผู้รับโอนทรัพย์สินซึ่งมีภาระจำนองอยู่แก่โจทก์ โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยชำระหนี้และไถ่ถอนจำนอง แต่จำเลยเพิกเฉย ซึ่งศาลชั้นต้นเห็นว่า การที่โจทก์มาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ขอให้บังคับจำนองเป็นประเด็นเดียวกับคดีก่อนที่โจทก์ฟ้องผู้กู้และศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วตามคดีหมายเลขแดงที่ 9571/2537 จำเลยคดีนี้เป็นผู้ซื้อทรัพย์พิพาทโดยติดจำนองจากการขายทอดตลาดในคดีที่นางเพ็ญนภาผู้จำนองรายเดิมตกเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษา จำเลยจึงเป็นผู้สืบสิทธิจากนางเพ็ญนภา ถือได้ว่าโจทก์และจำเลยในคดีนี้เป็นคู่ความเดียวกันกับคดีก่อน การที่โจทก์ฟ้องจำเลยคดีนี้อีก จึงเป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ 9571/2537 ของศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า การที่จำเลยซื้อทรัพย์สินซึ่งติดจำนองมาจากขายทอดตลาดในคดีหมายเลขแดงที่ 4394/2536 ของศาลชั้นต้น โจทก์ผู้ทรงสิทธิจำนองย่อมมีสิทธิที่จะบังคับเอาแก่ทรัพย์นั้นได้ แต่หาได้ทำให้จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ในฐานะเป็นผู้จำนองแต่อย่างใดไม่ ฐานะของจำเลยเป็นเพียงผู้รับโอนทรัพย์สินซึ่งจำนองอันมีสิทธิและหน้าที่ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ลักษณะ 12 หมวด 5 กล่าวคือ จำเลยมีสิทธิไถ่ถอนจำนองโดยเสนอรับใช้เงินเป็นจำนวนอันสมควรกับราคาทรัพย์สินนั้น ซึ่งหากโจทก์ไม่ยอมรับโจทก์ต้องฟ้องคดีต่อศาลภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันมีคำเสนอ เพื่อให้ศาลพิพากษาสั่งขายทอดตลาดทรัพย์สินซึ่งจำนองนั้นตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติในมาตรา 738 และมาตรา 739 และถ้าจำเลยมิได้ใช้สิทธิเสนอไถ่ถอนจำนองดังกล่าว หากโจทก์จะบังคับจำนอง ก็ต้องมีจดหมายบอกกล่าวแก่จำเลยล่วงหน้าหนึ่งเดือนก่อนแล้วจึงจะบังคับจำนองได้ ตามมาตรา 735 ซึ่งบัญญัติไว้ในลักษณะ 12 หมวด 4 มิใช่ว่าเมื่อจำเลยซื้อทรัพย์สินซึ่งติดจำนองมาแล้วโจทก์จะอาศัยสิทธิความเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ 9571/2537 ติดตามบังคับคดีแก่ทรัพย์สินนั้นได้ทันที เมื่อปรากฎว่าจำเลยมิได้เป็นคู่ความในคดีดังกล่าวและประเด็นแห่งคดีก็เป็นคนละอย่างกัน กรณีหาใช่เรื่องสืบสิทธิที่จะถือว่าเป็นเรื่องที่คู่ความเดียวกันรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันไม่ ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ 9571/2537 ของศาลชั้นต้น ไม่เป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา”
พิพากษากลับ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาและพิพากษาใหม่ต่อไปตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่