คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6961/2551

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ธนาคารจำเลยหักบัญชีสะสมทรัพย์ของโจทก์เพื่อชำระหนี้บัตรเครดิตที่โจทก์ค้างชำระ เป็นการใช้สิทธิตามข้อตกลงตามคำขอเป็นผู้ถือบัตรเครดิต มิใช่เป็นการหักกลบลบหนี้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 344 โดยไม่มีข้อตกลงระหว่างกัน จำเลยจึงมีสิทธิที่จะหักบัญชีสะสมทรัพย์ของโจทก์ได้ แม้หนี้บัตรเครดิตจะขาดอายุความแล้ว การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์
อุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่า ข้อความในคำขอเป็นผู้ถือบัตรเครดิตที่ให้นำหนี้บัตรเครดิตขาดอายุความไปก่อนที่จำเลยจะมีสิทธิหักกลบลบหนี้แล้วนั้นมาหักบัญชีเงินฝากของโจทก์เป็นข้อสัญญาที่มุ่งจะขยายอายุความ อันเป็นการต้องห้ามตามกฎหมายเป็นข้อสัญญาที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย หรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 150 นั้น เป็นข้อตกลงที่เกี่ยวกับประโยชน์ระหว่างคู่สัญญาเท่านั้นไม่มีผลกระทบต่อบุคคลภายนอกและไม่ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน จึงไม่ใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนเมื่อจำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้ไว้ จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นสถาบันการเงิน ประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์ โดยรับฝากเงินจากบุคคลทั่วไป โจทก์เป็นลูกค้าของจำเลย ได้เปิดบัญชีเงินฝากสะสมทรัพย์กับจำเลยที่สาขาย่อยเทสโกโลตัส นครพนม เลขที่ 666-0-03586-3 และใช้บัญชีเงินฝากดังกล่าวร่วมกับบัตรเบิกถอนเงินสดอัตโนมัติ (บัตรเอทีเอ็ม) เมื่อวันที่19 ธันวาคม 2549 จำเลยจงใจหรือประมาทเลินเล่อเบียดบังเอาเงินในบัญชีเงินฝากของโจทก์เลขที่บัญชี 666-0-03586-3 ไปเป็นของจำเลย ด้วยการหักยอดเงินฝากของโจทก์จำนวน 53,323.73 บาท ออกจากบัญชีเงินฝากของโจทก์ทำให้โจทก์ไม่สามารถถอนเงินจากบัญชีเงินฝากได้ ทำให้โจทก์ก็ได้รับความเสียหาย จำเลยต้องรับผิดคืนเงินจำนวน 53,323.73 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2549 คิดถึงวันฟ้องเป็นเวลา 289 วัน เป็นดอกเบี้ยจำนวน 3,167.44 บาท และจำเลยต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 150,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 206,491.17 บาท ขอให้บังคับจำเลยชดใช้เงินจำนวน 206,491.17 บาท ขอให้บังคับจำเลยชดใช้เงินจำนวน 206,491.17 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 203,323.73 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า การกระทำของจำเลยเป็นการใช้สิทธิหักกลบลบหนี้ตามข้อตกลงเป็นการกระทำโดยมีสิทธิ จึงไม่เป็นการละเมิดจำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยโดยกำหนดค่าทนายความ 2,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า แม้ศาลชั้นต้นจะมิได้สั่งอนุญาตให้โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา แต่การที่จำเลยได้รับสำเนาคำร้องขออนุญาตยื่นอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาของโจทก์แล้วไม่คัดค้านและศาลชั้นต้นส่งสำนวนมายังศาลฎีกาเพื่อพิจารณา พออนุโลมได้ว่าศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ วรรคหนึ่ง แล้ว
มีปัญหาข้อกฎหมายตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า จำเลยมีสิทธิหักบัญชีสะสมทรัพย์เลขที่ 666-0-03586-3 เพื่อชำระหนี้บัตรเครดิตหรือไม่ โดยโจทก์อุทธรณ์ว่า โจทก์เปิดบัญชีสะสมทรัพย์เลขที่ 666-0-03586-3 หลังจากมูลหนี้บัตรเครดิตขาดอายุความแล้วจำเลยไม่มีสิทธินำหนี้บัตรเครดิตไปหักกลบลบหนี้กับเงินฝากในบัญชีดังกล่าวได้นั้น เห็นว่า การที่จำเลยหักบัญชีสะสมทรัพย์เลขที่ 666-0-03586-3 ของโจทก์เพื่อชำระหนี้บัตรเครดิตที่โจทก์ค้างชำระ เป็นการใช้สิทธิตามข้อตกลงตามคำขอเป็นผู้ถือบัตรเครดิตเอกสารหมาย ล.1 ข้อ 8 วรรคสาม ซึ่งมีข้อความระบุไว้อย่างชัดเจนว่า “ในกรณีที่ผู้ถือบัตรค้างชำระเงินตามกล่าวในวรรคสอง ธนาคารมีสิทธิยกเลิกบัตรได้ทันที โดยมิต้องบอกกล่าวให้ผู้ถือบัตรทราบล่วงหน้าและผู้ถือบัตรยินยอมให้ธนาคารนำภาระหนี้บัตรเครดิตที่คงค้างไปหักบัญชีเงินฝากของผู้ถือบัตรทุกประเภทที่มีอยู่กับธนาคารได้ตามที่ธนาคารเห็นสมควร โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ถือบัตรอีก…” หาใช่เป็นการหักกลบลบหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 344 โดยไม่มีข้อตกลงระหว่างกันไม่ จำเลยจึงมีสิทธิที่จะหักบัญชีสะสมทรัพย์ของโจทก์ได้แม้หนี้บัตรเครดิตจะขาดอายุความแล้วก็ตาม การกระทำของจำเลยหาเป็นละเมิดต่อโจทก์ไม่ ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ว่าข้อความในคำขอเป็นผู้ถือบัตรเครดิตเอกสารหมาย ล.1 ข้อ 8 วรรคสาม ที่ให้นำหนี้บัตรเครดิตขาดอายุความไปก่อนที่จำเลยจะมีสิทธิหักกลบลบหนี้แล้วนั้นมาหักบัญชีเงินฝากของโจทก์เป็นข้อสัญญาที่มุ่งจะขยายอายุความ อันเป็นการต้องห้ามตามกฎหมายเป็นข้อสัญญาที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย หรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 150 นั้น เห็นว่า ข้อสัญญาดังกล่าวเป็นข้อตกลงที่เกี่ยวกับประโยชน์ระหว่างคู่สัญญาเท่านั้นไม่มีผลกระทบต่อบุคคลภายนอกและไม่ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน จึงไม่ใช่เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อจำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้ไว้จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้โจทก์อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นนี้ให้เป็นพับ

Share