คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2237/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

มารดาโจทก์เป็นโรคความดันโลหิตสูงซึ่งได้ รับการรักษาตามปกติไม่ปรากฏว่ามีอาการรุนแรงและเฉียบพลัน และไม่ได้ป่วยหนักจนเป็นเหตุให้โจทก์ต้องรีบเดินทางไปทันที การที่โจทก์ขาดงานไปเยี่ยมมารดาโดยไม่ลากิจให้ถูกต้อง จึงเป็นการละทิ้งหน้าที่โดยไม่มีเหตุอันสมควร
การที่นายจ้างมีระเบียบห้ามมิให้ลูกจ้างลาหยุดโดยไม่มีเหตุอันสมควรหรือลาหยุดเป็นประจำนั้น มิได้หมายความว่าถ้าลูกจ้างฝ่าฝืนแล้วจะต้องมีความผิด เพราะถ้าลูกจ้างยื่นใบลาโดยไม่มีเหตุสมควรหรือลาหยุดบ่อย นายจ้างก็สามารถจะไม่อนุญาตให้ลาหยุดได้ ถ้าลูกจ้างลาหยุดโดยนายจ้างอนุญาตแล้ว แม้เป็นการลาหยุดโดยไม่มีเหตุอันสมควรหรือลาหยุดเป็นประจำ จะถือว่าเป็นความผิดของลูกจ้างไม่ได้ และการลากิจ ลาป่วยบ่อย ๆ ของลูกจ้าง ไม่ใช่การกระทำผิดไม่ต้องด้วย ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 47 (3)

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นลูกจ้างของจำเลยเมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๓๒ จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองโดยโจทก์ทั้งสองไม่มีความผิด เป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์ทั้งสอง และให้รับโจทก์ทั้งสองกลับเข้าทำงานในหน้าที่และอัตราค่าจ้างไม่ต่ำกว่าเดิม หรือให้จ่ายค่าเสียหายให้โจทก์ทั้งสอง
จำเลยทั้งสองสำนวนให้การว่า โจทก์ที่ ๑ ลาป่วยและลากิจฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับของจำเลยเป็นประจำทั้ง ๆ ที่มิได้ป่วยหรือมีกิจอันจำเป็น จำเลยเคยตักเตือนเป็นหนังสือมาแล้ว แต่โจทก์ที่ ๑ ก็กระทำผิดซ้ำคำเตือนอีก ส่วนโจทก์ที่ ๒ ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาสามวันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควร จำเลยมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองได้ตามกฎหมาย และไม่ต้องจ่ายเงินตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ที่ ๑ จำนวน ๑๔,๙๔๐ บาท คำขออื่นให้ยก
โจทก์ที่ ๒ และจำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ที่ ๒ ลางานไม่ถูกต้องตามระเบียบของจำเลยการที่โจทก์ที่ ๒ อ้างว่าจำเป็นต้องไปเยี่ยมมารดานั้น มารดาโจทก์ที่ ๒ เป็นโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งก็ได้รับการรักษาตามปกติ ไม่ได้ปรากฏว่ามีอาการรุนแรงและเฉียบพลันแต่อย่างใด อาการป่วยของมารดาโจทก์ที่ ๒ เช่นนี้ เห็นว่า ไม่มีความจำเป็นที่โจทก์ที่ ๒ จะต้องรีบเดินทางไปเยี่ยม เมื่อโจทก์ที่ ๒ ลางานโดยไม่ถูกต้องแล้วไม่มาทำงานจึงเป็นการละทิ้งหน้าที่เกินสามวันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควร ข้อเท็จจริงตามที่ศาลแรงงานกลางรับฟังมานี้ ศาลฎีกาเห็นว่า การขาดงานของโจทก์ไม่มีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนที่โจทก์ที่ ๒จะไม่ไปทำงาน โดยไม่ลากิจให้ถูกต้องตามระเบียบของจำเลย เพราะมารดาโจทก์ที่ ๒ ไม่ได้ป่วยหนักจนเป็นเหตุให้โจทก์ที่ ๒ ต้องรีบเดินทางไปทันที กรณีนี้โจทก์ที่ ๒ ควรจะลากิจให้ถูกต้องเสียก่อนแล้วจึงจะหยุดงานไปได้ ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า การไม่มาทำงานของโจทก์ที่๒ เป็นการละทิ้งหน้าที่โดยไม่มีเหตุอันสมควรนั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ที่ ๒ ฟังไม่ขึ้น ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ว่าจำเลยมีสิทธิเลิกจ้างโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยนั้น ปรากฏว่าจำเลยได้กำหนดในระเบียบเอกสารหมาย ล.๒ หมวดที่ ๗ วินัย โทษทางวินัยและความผิดสถานหนักข้อ ๙ ว่า “ไม่มาทำงานสายหรือลาหยุดโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรหรือลาหยุดเป็นประจำ” ระเบียบนี้แม้มีข้อห้ามมิให้ลูกจ้างลาหยุดโดยไม่มีเหตุอันสมควรหรือลาหยุดเป็นประจำก็เป็นเพียงข้อห้ามเท่านั้น มิได้หมายความว่าถ้าลูกจ้างฝ่าฝืนแล้วจะต้องมีความผิด เพราะว่าถ้าลูกจ้างผู้ใดได้ยื่นใบลาโดยไม่มีเหตุอันสมครหรือลาหยุดบ่อยเกินไปจำเลยผู้เป็นนายจ้างชอบที่จะมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ลูกจ้างผู้นั้นลาหยุดได้ ถ้าลูกจ้างลาหยุดโดยได้รับอนุญาตจากจำเลยแล้ว แม้เป็นการลาหยุดโดยไม่มีเหตุอันสมควรหรือลาหยุดเป็นประจำ จะถือว่าเป็นความผิดของลูกจ้างหาได้ไม่ เพราะนายจ้างเป็นผู้อนุญาตเอง เว้นแต่ในกรณีที่นายจ้างเห็นว่าลูกจ้างลาหยุดบ่อย ๆ ไม่มีสมรรถภาพในการทำงาน นายจ้างก็อาจเลิกจ้างได้ แต่หาใช่เป็นการเลิกจ้างที่ลูกจ้างกระทำความผิดไม่ เอกสารหมาย ล.๓ และ ล.๔ ที่จำเลยอ้างว่าเป็นคำเตือนนั้นก็ปรากฏข้อความตักเตือนโจทก์ที่ ๑ ว่าลาป่วยมาก ถ้าป่วยจริงก็แสดงว่ามีสุขภาพไม่แข็งแรงเท่านั้น ส่วนข้อความว่าถ้าไม่ป่วยจริงก็เป็นการทุจริต จะถูกเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชยนั้น ก็เป็นเพียงข้อความที่จำเลยเน้นให้โจทก์ที่ ๑ ทราบว่าถ้าไม่ป่วยจริงก็จะถูกลงโทษเท่านั้น ไม่ปรากฏว่ามีการกล่าวหาว่าโจทก์ที่ ๑ ลาป่วยเท็จแต่อย่างใด จึงถือไม่ได้ว่าเป็นคำตักเตือนโจทก์ที่ ๑ เพราะกระทำผิดระเบียบของจำเลย อีกทั้งการลากิจ ลาป่วยบ่อย ๆ ของโจทก์ที่ ๑ ก็ไม่ใช่การกระทำผิดแต่อย่างใด จึงไม่ต้องด้วยประกาศแห่งประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ ๔๗(๓) ที่จะเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชยตามที่จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานแลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ที่ ๑ ชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share