แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สัญญาค้ำประกันที่จำเลยที่ 2 ทำต่อโจทก์นั้นไม่มีข้อตกลงยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยทั้งสองมิได้ยกขึ้นกล่าวในศาลล่างทั้งสอง ก็มีสิทธิยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคสอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้ 2,175,700 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงิน 1,650,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 2,175,700 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงิน 1,650,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 1 สิงหาคม 2554) เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนด ค่าทนายความ 6,000 บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์โดยได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลกึ่งหนึ่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันชั้นฎีการับฟังได้ว่า โจทก์เป็นพี่สาวของอดีตภริยาของจำเลยที่ 1 โจทก์และจำเลยที่ 1 เคยร่วมกันประกอบธุรกิจรถยนต์มือสองใช้ชื่อการค้าว่า จีเนียสคาร์ ต่อมาเลิกกิจการ จำเลยที่ 1 เป็นผู้มอบสัญญากู้เงินและสัญญาค้ำประกัน ให้โจทก์ โดยจำเลยที่ 1 เขียนจำนวนเงิน 1,650,000 บาท และลงลายมือชื่อจำเลยที่ 1 ในช่องผู้กู้ จำเลยที่ 2 เป็นพี่สาวของจำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อในช่องผู้ค้ำประกัน ก่อนฟ้องคดีทนายโจทก์กรอกข้อความในสัญญากู้ว่าทำสัญญาวันที่ 25 มิถุนายน 2552 ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ชำระต้นเงินภายในวันที่ 25 มิถุนายน 2554 และกรอกข้อความรายละเอียดในสัญญาค้ำประกัน โจทก์มีหนังสือทวงถามให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ภายใน 7 วัน จำเลยทั้งสองได้รับหนังสือทวงถามวันที่ 13 กรกฎาคม 2554 ตามหนังสือขอให้ชำระหนี้และใบตอบรับ
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองต่อไปมีว่า จำเลยทั้งสองต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ เพียงใด จำเลยทั้งสองฎีกาว่า โจทก์กรอกข้อความในสัญญากู้เงินและสัญญาค้ำประกันโดยจำเลยทั้งสองไม่ยินยอม เห็นว่า โจทก์เบิกความว่า จำเลยที่ 1 ตกลงชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี และจะชำระต้นเงินและดอกเบี้ยให้ครบถ้วนภายในวันที่ 25 มิถุนายน 2554 ส่วนจำเลยที่ 1 เบิกความว่าการกรอกข้อความไม่ได้พูดกับโจทก์ แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่า ขณะจำเลยที่ 1 มอบสัญญากู้เงิน ไม่ได้ระบุอัตราดอกเบี้ยและวันครบกำหนดชำระ ทั้งที่จำเลยที่ 1 ได้ระบุจำนวนเงินไว้ คำเบิกความของจำเลยที่ 1 ว่าไม่ได้มีการพูดตกลงเรื่องอัตราดอกเบี้ยและวันครบกำหนดชำระจึงมีน้ำหนักให้รับฟังมากกว่าคำเบิกความของโจทก์ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 กู้เงินและรับเงินไป 1,650,000 บาท ขณะทำสัญญากู้ไม่ได้ระบุอัตราดอกเบี้ยและกำหนดเวลาชำระหนี้คืน แต่เมื่อโจทก์ทวงถามและกำหนดเวลาให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ภายใน 7 วัน นับแต่จำเลยทั้งสองได้รับหนังสือทวงถามวันที่ 13 กรกฎาคม 2554 จำเลยทั้งสองไม่ชำระจึงตกเป็นผู้ผิดนัด โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยได้ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่ผิดนัดวันที่ 21 กรกฎาคม 2554 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 วรรคหนึ่ง ส่วนค่าเสียหาย 5,000 บาท โจทก์ฟ้องว่าเป็นค่าเสียหายในการทวงถามอันเกิดจากการผิดสัญญา แต่เมื่อสัญญากู้ไม่ได้กำหนดเวลาชำระหนี้คืน ขณะทวงถามจำเลยทั้งสองยังมิได้ผิดสัญญา จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิดในค่าทวงถามดังกล่าว และสัญญาค้ำประกันที่จำเลยที่ 2 ทำต่อโจทก์นั้นไม่มีข้อตกลงยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยทั้งสองมิได้ยกขึ้นกล่าวในศาลล่างทั้งสอง ก็มีสิทธิยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง ฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสองฟังขึ้น ส่วนฎีกาข้ออื่นนอกจากนี้ไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไม่จำต้องวินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยบางส่วน ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 1,650,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 21 กรกฎาคม 2554 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระ ให้จำเลยที่ 2 ชำระแทนจนครบ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ