แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การฟ้องคดีขอให้รับเด็กเป็นบุตรนั้นจะมีได้แต่ในกรณีที่แจ้งไว้ตาม ป.พ.พ. ม.1529
เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องใจความว่า “ข้าพเจ้ากับจำเลยได้เสียเป็นสามีภรรยากันเอง ฯลฯ” ดังนี้ไม่เข้าเกณฑ์ตาม ม.1529(4).
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องใช้ถ้อยคำดังนี้ เมื่อประมาณ ๓ ปีมานี้ข้าพเจ้ากับจำเลยได้เสียเป็นสามีภรรยากันเอง มิได้จดทะเบียนสมรส ต่อมาเกิดบุตรหญิงด้วยกันคนหนึ่งเมื่อวันที่ ๑ มกราคม ๒๔๙๔ ยังไม่ได้ตั้งชื่อ และก่อนคลอดบุตรข้าพเจ้าป่วยไปรักษาตัวอยู่ที่อื่น เมื่อข้าพเจ้าทุเลาแล้วจะกลับไปอยู่กับจำเลยตามเดิมแต่ปรากฏว่า ภรรยาเก่าของจำเลยมาอยู่ จำเลยจึงเกลี่ยกล่อมแนะนำให้ข้าพเจ้าไปอยู่ที่อื่นพลางก่อน ข้าพเจ้าจึงไปอาศัยผู้มีชื่ออยู่ ในเบื้องต้นจำเลยก็ติดตามส่งเสีย ครั้นภายหลังจำเลยกลับทอดทิ้งไม่ส่งเสียอุปการะแต่ประการใด จนกระทั่งบัดนี้พฤติการณ์ของจำเลยเป็นการหลอกลวงข้าพเจ้าและทอดทิ้งบุตรให้ได้รับความเดือดร้อน ขอให้จำเลยรับรองบุตรและให้จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดู
จำเลยต่อสู้ว่าจำเลยไม่ใช่บิดาของเด็ก
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าเด็กที่เกิดเป็นบุตรของจำเลยส่วนค่าอุปการะเลี้ยงดูยังไม่ถึงเวลาที่โจทก์จะฟ้องเอาได้จากจำเลย ให้ยกคำขอข้อหลัง
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าการฟ้องคดีขอให้รับเด็กเป็นบุตรจะมีได้แต่ในกรณีที่แจ้งตาม ป.พ.พ. ม.๑๕๒๙ เท่านั้น ฟ้องเรื่องนี้โจทก์บรรยายมิได้ต้องด้วย ม.๑๕๒๙ ส่วนที่ว่าจำเลยล่อลวงนั้นก็มิได้มีหลักฐานอะไรที่เป็นหนังสือจึงเป็นอันไม่ได้ความว่าจำเลยล่อลวง
ฟ้องข้ออื่นไม่ไเป็นไปตาม ม.๑๕๒๙ ต้องยกตาม ม.๑๗๒ป.วิ.แพ่ง
พิพากษากลับให้ยกฟ้อง