คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7003/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การบอกล้างนิติกรรมที่เป็นโมฆียะ กฎหมายไม่ได้กำหนดแบบไว้ การที่จำเลยให้การต่อสู้คดีปฏิเสธความรับผิดตามสัญญาอ้างว่าถูกข่มขู่ จึงไม่ต้องรับผิดตามสัญญาถือได้ว่าเป็นการบอกล้างโมฆียะกรรมแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปแก่โจทก์จนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาคำฟ้องโจทก์และคำให้การจำเลยแล้ว เห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้ จึงให้งดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลย แล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 19 มิถุนายน 2540) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์จำเลยในประเด็นว่า จำเลยถูกข่มขู่ให้ทำบันทึกตกลงชดใช้ค่าเสียหายหรือไม่ แล้วให้มีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 3ยกคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์จำเลยและพิพากษาใหม่นั้นชอบหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยรับผิดตามสัญญา จำเลยให้การต่อสู้คดีปฏิเสธความรับผิดว่า จำเลยทำสัญญาเพราะถูกโจทก์กับพวกข่มขู่บังคับ คดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทว่า สัญญาที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นนิติกรรมที่เป็นโมฆียะเพราะทำขึ้นโดยการข่มขู่หรือไม่ แม้ศาลชั้นต้นตั้งประเด็นพิพาทว่า จำเลยต้องรับผิดตามสัญญานั้นหรือไม่ แล้วมีคำสั่งงดสืบพยานโดยเห็นว่า แม้สัญญานั้นจะเป็นโมฆียะ แต่เมื่อจำเลยไม่ได้บอกล้างจำเลยต้องรับผิดนั้น ไม่ถูกต้อง เพราะการบอกล้างนิติกรรมที่เป็นโมฆียะ กฎหมายไม่ได้กำหนดแบบไว้ การที่จำเลยให้การต่อสู้คดีปฏิเสธความรับผิดตามสัญญาอ้างว่าถูกข่มขู่ จึงไม่ต้องรับผิดตามสัญญา ก็ถือได้ว่าเป็นการบอกล้างโมฆียะกรรมแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษาใหม่จึงชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share