แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดเมื่อ วันที่ 7 กันยายน 2537 ในข้อหามีเฮโรอีนจำนวน 1 ห่อหนัก 0.13 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และได้จำหน่ายเฮโรอีนจำนวนดังกล่าวให้ช. ไปในราคา 90 บาท ต่อมาวันที่ 16 กันยายน 2537 เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลย ได้ในคดีอื่น แสดงว่า โจทก์มีความประสงค์จะให้ศาลลงโทษจำเลยเฉพาะการกระทำของจำเลยเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2537เท่านั้น เฮโรอีนของกลางคดีนี้ไม่ใช่เฮโรอีนจำนวน 3 หลอดที่เจ้าพนักงานยึดได้จากบ้านจำเลยในวันที่โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยได้กระทำความผิดคดีนี้ ดังนี้ จำเลยจึงไม่ต้องรับโทษในข้อหามีเฮโรอีนจำนวน 3 หลอดไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตเพราะเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ได้กล่าวในฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคแรกและไม่ใช่เรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2537 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยมีเฮโรอีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1จำนวน 1 ห่อ น้ำหนัก 0.13 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเฮโรอีนดังกล่าวให้แก่นายเชษฐา จำเลยที่ 1ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1383/2537 ของศาลชั้นต้นซึ่งได้พิพากษาลงโทษไปแล้ว ไปในราคา 90 บาท อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย อนึ่ง จำเลยเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลชั้นต้นในข้อหามีเฮโรอีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุก 1 ปีโทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี และคุมความประพฤติจำเลยไว้ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1037/2535 ในระหว่างที่รอการลงโทษจำเลยกลับมากระทำความผิดคดีนี้อีก จำเลยนี้เป็นบุคคลเดียวกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 459/2539 และคดีอาญาหมายเลขดำที่ 816/2539 ของศาลชั้นต้น ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 15, 66, 67 ที่แก้ไขแล้วและขอให้นำโทษที่รอการลงโทษจำเลยไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1037/2535 ของศาลชั้นต้นมาบวกเข้ากับโทษของจำเลยคดีนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58 และนับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 459/2539 และคดีอาญาหมายเลขดำที่ 816/2539 ของศาลชั้นต้นด้วย
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยที่โจทก์ขอให้นำโทษที่รอการลงโทษไว้มาบวกและขอให้นับโทษต่อจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 67 จำคุก 2 ปีให้นำโทษจำคุก 1 ปีในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1037/2535 ของศาลชั้นต้นมาบวกเข้ากับโทษของจำเลยคดีนี้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 58 เป็นจำคุก 3 ปี ให้นับโทษจำคุกดังกล่าวต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 459/2539 ของศาลชั้นต้นส่วนคำขอให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 816/2539 ของศาลชั้นต้นเมื่อไม่ปรากฏว่า คดีดังกล่าวมีคำพิพากษาแล้ว จึงไม่อาจนับโทษต่อให้ได้ ข้อหาอื่นและคำขออื่นให้ยกเสีย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นรับฟังข้อเท็จจริงว่าพยานหลักฐานของโจทก์ไม่พอฟังลงโทษจำเลยในข้อหามีเฮโรอีนจำนวน 1 ห่อ หนัก 0.13 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเฮโรอีนดังกล่าวให้แก่นายเชษฐาตามฟ้องโจทก์ไม่อุทธรณ์ ข้อหานี้จึงยุติตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้น มีปัญหาต้องวินิจฉัยในชั้นฎีกาว่า จำเลยต้องรับโทษในข้อหามีเฮโรอีนจำนวน 3 หลอดซึ่งเจ้าพนักงานตำรวจยึดได้จากจำเลยเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2537 ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่ เห็นว่าโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2537 ในข้อหามีเฮโรอีนจำนวน 1 ห่อ หนัก 0.13 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและได้จำหน่ายเฮโรอีนจำนวนดังกล่าวให้นายเชษฐา ไปในราคา 90 บาท ต่อมาวันที่ 16 กันยายน 2537 เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยได้ในคดีอื่นจากคำบรรยายฟ้องของโจทก์แสดงว่าโจทก์มีความประสงค์จะให้ศาลลงโทษจำเลยเฉพาะการกระทำของจำเลยเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2537 เท่านั้น ส่วนการกระทำของจำเลยในวันที่ 16 กันยายน 2537 โจทก์บรรยายไว้แล้วว่าเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยได้ในคดีอื่น และสำหรับเฮโรอีนของกลางคดีนี้ที่เจ้าพนักงานตำรวจยึดได้จากนายเชษฐาจำนวน 1 ห่อหนัก 0.13 กรัม นั้นได้ใช้หมดไปแล้วจากการตรวจพิสูจน์ตามเอกสารหมาย จ.3 จึงเห็นได้ชัดว่า เฮโรอีนของกลางคดีนี้ไม่ใช่เฮโรอีนจำนวน 3 หลอด ที่เจ้าพนักงานยึดได้จากบ้านจำเลยเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2537 ซึ่งเป็นอีกคดีหนึ่ง จำเลยจึงไม่ต้องรับโทษในข้อหามีเฮโรอีนจำนวน 3 หลอด ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตเพราะเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ได้กล่าวในฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคแรกและไม่ใช่เรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ
พิพากษายืน