แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์มีคำรับสารภาพชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 2บันทึกการนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพและภาพถ่าย กับมีพันตำรวจตรีป. พนักงานสอบสวนเบิกความว่าจำเลยที่ 2 รับสารภาพว่าได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ฆ่าผู้ตายโดยใช้อาวุธปืนยิง แต่คำรับสารภาพชั้นสอบสวนกับภาพถ่ายที่แสดงท่าทางและนำชี้ที่เกิดเหตุ แล้วแต่เป็นพยานบอกเล่าจึงมีน้ำหนักน้อย ส่วนปลอกกระสุนปืนที่ยึดได้จากบ้านของจำเลยที่ 2 ก็ไม่ปรากฏว่าเกี่ยวข้องกับการตายของผู้ตาย จึงขาดการต่อเนื่อง นอกจากคำรับสารภาพชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 2 แล้ว โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานหรือวัตถุ ของกลางที่ยืนยันได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1ฆ่าผู้ตาย พยานหลักฐานเท่าที่โจทก์นำสืบจึงยังมี ความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยที่ 1 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่ง ความสงสัยนั้นให้จำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 227 วรรคสอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันมีอาวุธปืนลูกซองยาว 1 กระบอก ไม่มีหมายเลขทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับและกระสุนปืนลูกซองเบอร์ 12 ไม่ทราบจำนวนพาอาวุธปืนและกระสุนปืนดังกล่าวติดตัวไปในหมู่ที่ 3 ตำบลบ้านลำนาว อำเภอบางขัน จังหวัดนครศรีธรรมราช และตามถนนภายในหมู่บ้านดังกล่าวอันเป็นทางสาธารณะ โดยไม่ได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัวจากนายทะเบียนตามกฎหมาย และไม่ใช่กรณีจำเป็นและเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ แล้วจำเลยทั้งสองโดยมีเจตนาฆ่าและไตร่ตรองไว้ก่อน ร่วมกันตระเตรียมอาวุธปืนลูกซองยาวดังกล่าว และใช้ยิงนายณรงค์ เมืองทรัพย์ ผู้ตาย 2 นัด ถูกที่บริเวณหน้าอก เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายทันที ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 288, 289 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ และริบของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4) พระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคสาม,72 ทวิ วรรคสอง ประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนให้ประหารชีวิต ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกคนละ 1 ปี ฐานพาอาวุธปืนไปในเมืองและหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกคนละ 6 เดือน รวมแล้วคงประหารชีวิตจำเลยทั้งสองคำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนของจำเลยทั้งสองเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52(2) คงให้จำคุกจำเลยทั้งสองไว้ตลอดชีวิต ริบของกลาง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่าจำเลยที่ 2 เป็นคนร้ายร่วมกับจำเลยที่ 1กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีคำรับสารภาพชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 2 ตามบันทึกคำให้การ เอกสารหมาย จ.16บันทึกการนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพเอกสารหมาย จ.13และภาพถ่ายหมาย จ.14 กับมีพันตำรวจตรีประสิทธิ์ ประธานพงศ์พนักงานสอบสวนเบิกความว่าจำเลยที่ 2 รับสารภาพว่าได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ฆ่าผู้ตายโดยใช้อาวุธปืนยิง แต่คำรับสารภาพชั้นสอบสวนกับการแสดงท่าทางและนำชี้ที่เกิดเหตุให้ถ่ายภาพไว้ล้วนแต่เป็นพยานบอกเล่าจึงมีน้ำหนักน้อย และอีกประการหนึ่งปลอกกระสุนปืนที่ยึดได้จากบ้านของจำเลยที่ 2 ก็ไม่ปรากฏว่าเกี่ยวข้องกับการตายของผู้ตายจึงขาดการต่อเนื่อง นอกจากคำรับสารภาพชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 2 แล้ว โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานหรือวัตถุของกลางที่ยืนยันได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ฆ่าผู้ตาย ฉะนั้น พยานหลักฐานเท่าที่โจทก์นำสืบจึงยังมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสองศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยปัญหานี้ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน