แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำเบิกความของจำเลยเป็นข้อสำคัญในคดีหรือไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมายเพราะการวินิจฉัยว่าเป็นข้อสำคัญในคดีหรือไม่ มิได้อาศัยจากพยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบว่าจริงหรือไม่จริง แต่เป็นความเห็นของศาลเองที่จะต้องวินิจฉัยถึงประเด็นในคดีที่เป็นข้อพิพาท ประกอบด้วยหลักกฎหมายแล้วจึงชี้ขาดสำคัญหรือไม่สำคัญคู่ความจะนำสืบโต้เถียงกันว่าสำคัญหรือไม่สำคัญเสียเองหาได้ไม่ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 1/2506)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้ฟ้องโจทก์ในคดีแพ่งดำที่ 118/2500เลขแดงที่ 125/2500 เรื่องบังคับจำนอง แล้วจำเลยที่ 1 เบิกความเป็นพยานตอนหนึ่งว่า “ฟ้องของโจทก์เป็นความจริงทุกประการเวลานี้จำเลยอพยพไปอยู่แห่งหนตำบลใดไม่ทราบ” จำเลยที่ 2 เบิกความตอนหนึ่งว่า”ปัจจุบันที่ดินแปลงนี้มีราคาไร่ละไม่เกินเจ็ดร้อยบาท เพราะเป็นนาไม่ใช่ชั้นดีซื้อขายกันราวเจ็ดร้อยบาทนาแถวนี้” คำเบิกความดังกล่าวเป็นเท็จ ความจริงจำเลยที่ 1 ทราบดีว่าโจทก์มีภูมิลำเนาตามที่ปรากฏในคดีนี้ และจำเลยที่ 2 ทราบดีว่านาพิพาทเป็นนาชั้นดีมีราคาสูงกว่าที่โจทก์เป็นหนี้จำนองเป็นอันมาก คำเบิกความดังกล่าวเป็นข้อสำคัญในคดีแพ่ง ทำให้ศาลเชื่อว่าเป็นความจริง และพิพากษาให้ที่ดินของโจทก์หลุดเป็นสิทธิแก่จำเลยที่ 1 ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177, 180, 83
ศาลแขวงพระนครศรีอยุธยาไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า ข้อความที่จำเลยเบิกความว่า “โจทก์อพยพไปอยู่แห่งหนตำบลใดไม่ทราบ” นั้นหาใช่ข้อสำคัญในคดีไม่ เพราะคดีแพ่งนั้นศาลสั่งว่าโจทก์ขาดนัดแล้วจำเลยจะเบิกความถึงเรื่องที่อยู่ของโจทก์หรือไม่เบิกความก็หาทำให้รูปคดีเปลี่ยนแปลงไปไม่ ในชั้นสืบพยานคดีแพ่ง ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า โจทก์เป็นเจ้าหนี้จำนองจริงหรือไม่ กรณีเข้าเงื่อนไขในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 729 หรือไม่เท่านั้นหาเกี่ยวแก่ภูมิลำเนาของจำเลยในคดีนั้นไม่ ส่วนข้อที่หาว่าเบิกความเท็จเรื่องราคาที่ดินเป็นเรื่องของการกะประมาณแต่ละคนไป เห็นว่าคดีโจทก์ไม่มีมูล พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยเสียก่อนว่า ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคำเบิกความของจำเลยดังกล่าวไม่ใช่ข้อสำคัญในคดีที่จำเลยเบิกความก็ดี ที่โจทก์ฎีกาว่า เป็นข้อสำคัญในคดีก็ดี เป็นข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายศาลฎีกาปรึกษาโดยที่ประชุมใหญ่แล้วมีมติว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมาย เพราะการวินิจฉัยว่าเป็นข้อสำคัญในคดีหรือไม่มิได้อาศัยจากพยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบว่าจริงหรือไม่จริง แต่เป็นความเห็นของศาลเองที่จะต้องวินิจฉัยถึงประเด็นในคดีที่เป็นข้อพิพาท ประกอบด้วยหลักกฎหมาย แล้วจึงชี้ขาดว่าสำคัญหรือไม่สำคัญคู่ความจะนำสืบโต้เถียงกันว่าสำคัญหรือไม่สำคัญเสียเองหาได้ไม่ เมื่อวินิจฉัยว่าฎีกาโจทก์เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาจะได้วินิจฉัยต่อไปว่าคำเบิกความของจำเลยที่ว่าไม่ทราบที่อยู่ของโจทก์นั้นเป็นข้อสำคัญในคดีหรือไม่ ในคดีแพ่งที่จำเลยฟ้องโจทก์บังคับจำนองเอาที่ดินหลุดเป็นสิทธินั้น ศาลมีคำสั่งว่าจำเลยในคดีนั้นขาดนัดยื่นคำให้การเสียแล้ว ให้สืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียว ประเด็นที่จะนำสืบต่อไปมีแต่เรื่องการจำนองที่ดินเท่านั้นว่า โจทก์ชอบที่จะเรียกเอาทรัพย์จำนองหลุดได้หรือไม่ โดยมีข้อวินิจฉัยตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 729 ส่วนเรื่องที่ว่าจำเลยในคดีนั้นอยู่ที่ไหนโจทก์รู้หรือไม่ ไม่มีประเด็นที่จะต้องพิจารณาเลย โจทก์จะไม่เบิกความถึงเสียเลยก็ได้ ไม่ทำให้คดีของโจทก์แพ้หรือชนะในข้อนี้แต่อย่างใด จึงวินิจฉัยได้ว่าไม่เป็นข้อสำคัญแห่งคดี ส่วนข้อที่โจทก์ฎีกาเรื่องราคานาต่อมาอีกนั้น ข้อนี้ศาลอุทธรณ์ฟังว่า จำเลยที่ 2 มิได้เบิกความเท็จ โจทก์โต้เถียงจะให้เป็นข้อกฎหมาย อ้างว่าศาลอุทธรณ์พิจารณาผิดข้อเท็จจริงซึ่งที่แท้ก็จะให้เชื่อพยานโจทก์ว่านาพิพาทมีราคา 2,000 บาท เป็นการเถียงข้อเท็จจริงนั่นเอง โจทก์ฎีกาในข้อนี้ไม่ได้ พิพากษายืน.