แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พี่น้องร่วมบิดามารดาได้เสียเป็นผัวเมียกัน เมื่อพ.ศ.2477 นั้น ตามกฎหมายลักษณะผัวเมียจะต้องถูกลงโทษลอยแพ ฉะนั้น พี่น้องดังกล่าวจึงมิใช่ผัวเมียที่ชอบด้วยกฎหมายแม้ต่อมา พ.ศ.2483 จะมีบุตรด้วยกันก็เป็นบุตรที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของบิดา เว้นแต่บิดาจะจดทะเบียนหรือศาลพิพากษาว่าเป็นบุตร
บุตรที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ฟ้องบิดาเรียกทรัพย์ที่ยืมไปคืนได้ไม่เป็นอุทลุม
แม้ชายอายุสิบเจ็ดปีบริบูรณ์ และหญิงอายุสิบห้าปีบริบูรณ์จะจดทะเบียนสมรสกัน โดยมิได้รับความยินยอมของบิดามารดาหรือผู้ปกครองก็ตาม ก็หาถือว่าการสมรสนั้นเป็นโมฆะหรือไม่สมบูรณ์แต่อย่างใดไม่ กฎหมายเพียงแต่ให้อำนาจบิดามารดาหรือผู้ปกครองร้องขอให้ศาลสั่งเพิกถอนการสมรสเสียได้เท่านั้น หากไม่มีการร้องขอให้เพิกถอนชายหญิงนั้นก็ย่อมบรรลุนิติภาวะแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ที่นาโฉนด 2073 เป็นของนางจีบ มารดาโจทก์มารดาโจทก์ตายตกได้แก่โจทก์ ให้นายขบวนเช่าคิดค่าเช่าปีละ 450 ถังเมื่อเดือน 4 พ.ศ. 2501 จำเลยยืมข้าวเปลือกโจทก์ไป 400 ถังและวันที่ 27 มกราคม 2503 จำเลยเก็บค่าเช่าจากนายชนวนไป 450 ถัง โดยไม่บอกโจทก์ จึงขอให้จำเลยใช้ข้าว 450 ถัง หรือใช้ราคา 8,000 บาท
จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นสามีนางจีบ สมรสกัน พ.ศ. 2477 เกิดบุตร 1 คน คือ โจทก์นางจีบตาย จำเลยยกโจทก์ให้เป็นบุตรบุญธรรมของญาติจำเลยตั้งแต่เล็ก ๆ โจทก์จึงเข้าใจผิดว่าจำเลยเป็นลุงนางจีบตายจำเลยครอบครองนาพิพาทแต่ผู้เดียวเกิน 20 ปี นายชนวนไม่เคยเช่านาจากโจทก์และโจทก์ไม่เคยเก็บค่าเช่า จำเลยไม่เคยยืมข้าวโจทก์ จำเลยเก็บค่าเช่ามาจริง โจทก์ฟ้องจำเลยไม่ได้เป็นอุทลุมโจทก์ยังไม่บรรลุนิติภาวะจะดำเนินคดีด้วยตนเองไม่ได้ ถ้าจะอ้างว่าบรรลุนิติภาวะโดยการสมรส จำเลยก็ไม่ได้ให้ความยินยอม จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น ไม่เชื่อว่าโจทก์เป็นบุตรจำเลย โจทก์สมรสและจดทะเบียนโดยชอบจึงมีอำนาจฟ้อง เชื่อว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์จำเลยยืมข้าวเปลือก 400 ถังไปจริง พิพากษาให้จำเลยใช้ข้าวเปลือก 850 ถัง ถ้าไม่ใช้ก็ให้ใช้เงิน 8,000 บาทแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาฎีกาของจำเลยที่ว่า โจทก์เป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของจำเลยจึงฟ้องจำเลยผู้เป็นบิดาไม่ได้แล้ว เห็นว่า จำเลยนำสืบว่า จำเลยกับนางจีบซึ่งเป็นน้องบิดามารดาเดียวกัน ได้เสียเป็นสามีภรรยากันตั้งแต่ พ.ศ. 2477 ซึ่งเป็นเวลาก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 โจทก์สืบว่าโจทก์เป็นบุตรนายน้อย ๆ ได้นางจีบเป็นภรรยาเมื่อ พ.ศ. 2480 ครั้น พ.ศ. 2480 ก็เกิดบุตรด้วยกัน 1 คน คือ โจทก์ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า บุตรจะฟ้องบิดาไม่ได้ต้องห้ามตามกฎหมายนั้น จะต้องเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายแต่คดีนี้ปรากฎข้อเท็จจริงตามที่จำเลยนำสืบว่า จำเลยกับนางจีบได้เสียเป็นสามีภรรยากันตั้งแต่ พ.ศ. 2477 ถ้ารับฟังข้อเท็จจริงดังจำเลยอ้าง ก็เป็นเวลาก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 5 จึงต้องบังคับตามกฎหมายลักษณะผัวเมียบทที่ 36 ซึ่งบัญญัติว่าพี่น้องทำชู้กัน ให้ลงโทษทำแพลอยเสียในทะเล ฉะนั้น จำเลยกับนางจีบจึงมิใช่ผัวเมียที่ชอบด้วยกฎหมาย และทางพิจารณาปรากฏว่าโจทก์เกิดพ.ศ. 2483 ภายหลังใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5แล้วโจทก์จะเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของจำเลยหรือไม่ จะต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1526 ซึ่งบัญญัติว่าเด็กเกิดก่อนสมรสจะเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายต่อเมื่อบิดามารดาได้สมรสกันหรือบิดาได้จดทะเบียนว่าเป็นบุตรหรือศาลพิพากษาว่าเป็นบุตรเมื่อปรากฏว่าจำเลยกับนางจีบเป็นสามีภรรยากันโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายโจทก์ก็เป็นบุตรนอกสมรส เมื่อจำเลยไม่ได้จดทะเบียนว่าโจทก์เป็นบุตรและศาลก็ไม่ได้พิพากษาว่าโจทก์เป็นบุตร โจทก์กับจำเลยจึงไม่อาจเป็นบิดาและบุตรต่อกันตามกฎหมายได้ คดีไม่จำเป็นต้องพิจารณาข้อเท็จจริงที่โต้เถียงกันต่อไป โจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยได้
จำเลยฎีกาว่า วันที่โจทก์ยื่นฟ้อง โจทก์อายุ 19 ปี ยังไม่บรรลุนิติภาวะแม้โจทก์สมรสก็ไม่สมบูรณ์ เพราะผู้ให้ความยินยอมไม่ใช่ผู้ปกครองตามกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีความสามารถดำเนินคดีเองได้ศาลฎีกาพิจารณาแล้วโจทก์จดทะเบียนสมรสกับนางสาวนิภาซึ่งมีอายุครบ15 ปีบริบูรณ์แล้วมีบทบัญญัติในหมวดว่าด้วยเงื่อนไขแห่งการสมรสแสดงว่า ผู้เยาว์จะทำการสมรสจะต้องได้รับความยินยอมจากบิดามารดาหรือผู้ปกครอง และบทบัญญัติในหมวดว่าด้วยเพิกถอนการสมรส มิได้บัญญัติว่าการสมรสที่ทำไปโดยมิได้รับความยินยอมของบิดามารดาหรือผู้ปกครองนั้น เป็นโมฆะ หรือโมฆียะหรือไม่สมบูรณ์อย่างไรเลยเป็นแต่บัญญัติให้อำนาจแก่บิดามารดาหรือผู้ปกครองฟ้องขอให้เพิกถอนการสมรสได้เท่านั้น ซึ่งต่างกับกรณีที่การสมรสผิดเงื่อนไขอื่น ๆ บางข้อ ซึ่งมีระบุไว้ว่าเป็นโมฆะหรือโมฆียะ และการสมรสของโจทก์ก็ไม่มีผู้ใดฟ้องขอให้เพิกถอน ฉะนั้น จึงไม่มีเหตุที่จะถือว่าการสมรสของโจทก์ไม่เป็นการสมรสตามกฎหมาย หรือไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย เมื่อไม่มีเหตุที่จะถือว่าการสมรสของโจทก์ไม่สมบูรณ์ตามกฎหมายแล้ว โจทก์ก็ย่อมเป็นบุคคลผู้บรรลุนิติภาวะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 20 ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า นาพิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยครอบครองนาพิพาทในฐานะแทนโจทก์ และเชื่อว่าจำเลยยืมข้าวโจทก์ไป 400 ถังจริง
พิพากษายืน