แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 ขอแก้ไขในคำให้การเดิม จากที่ปฏิเสธว่าลายมือชื่อผู้เช่าซื้อในสัญญาเช่าซื้อมิใช่ลายมือชื่อของจำเลยที่ 1 และผู้ลงนามในสัญญาเช่าซื้อมิใช่กรรมการผู้มีอำนาจของโจทก์ เป็นว่า ผู้ลงนามในฐานะเจ้าของผู้ให้เช่าซื้อมิใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่ให้เช่าซื้อในขณะทำสัญญาเช่าซื้อ และมิใช่กรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ได้ตามกฎหมายขณะทำสัญญาเช่าซื้อ ข้อความที่ขอแก้ไขดังกล่าวจึงเป็นการสละข้อต่อสู้เดิมที่ว่าสัญญาเช่าซื้อเป็นเอกสารปลอมและยกข้อต่อสู้ว่าในขณะทำสัญญาผู้ลงนามในฐานะผู้ให้เช่าซื้อมิใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่ให้เช่าซื้อ และมิใช่ผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ กรณีหาใช่การแก้ไขข้อผิดพลาดเล็กน้อยหรือข้อผิดหลงเล็กน้อย แต่เป็นการยกข้อต่อสู้นอกเหนือจากคำให้การเดิมและเป็นเรื่องที่จำเลยอาจขอแก้ไขได้ก่อนวันชี้สองสถานอีกทั้งโจทก์ได้บรรยายฟ้องมาโดยชัดแจ้งแล้วในเรื่องการมอบอำนาจให้ลงนามในสัญญาเช่าซื้อแทนโจทก์ ซึ่งจำเลยมิได้ปฏิเสธหรือต่อสู้ในข้อนี้ ข้อความที่จำเลยขอแก้ไขดังกล่าวจึงไม่กระทบถึงความสมบูรณ์ของสัญญาเช่าซื้อ อันจะทำให้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนแต่อย่างใด การยื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การภายหลังวันชี้สองสถานเช่นนี้ จึงเป็นการฝ่าฝืน ป.วิ.พ. มาตรา 180
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มอบอำนาจให้นายสุเมธ อุปการัตน์ เป็นผู้มีอำนาจลงนามในสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันแทนโจทก์ จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ไปจากโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของผู้ให้เช่าซื้อ และตกลงผ่อนชำระค่าเช่าซื้อเป็นรายงวดโดยมีจำเลยที่ 2 ยอมค้ำประกันรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อเพียง 25 งวด แล้วผิดนัด โจทก์ทวงถามและบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยทั้งสองแล้ว ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนเป็นเงิน 160,320 บาท ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าขาดประโยชน์จำนวน 87,500 บาท และค่าเสียหายอีกเดือนละ 3,500 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์คืนโจทก์หรือใช้ราคาแทน
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยทำสัญญาเช่าซื้อ ลายมือชื่อในเอกสารดังกล่าวเป็นลายมือชื่อปลอม มิใช่ลายมือชื่อจำเลยที่ 1 ผู้ลงนามในสัญญาเช่าซื้อมิใช่กรรมการผู้มีอำนาจของโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นชี้สองสถานแล้วให้โจทก์นำสืบก่อน ต่อมาจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การ
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ชี้สองสถานแล้ว ไม่อนุญาต
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า “ข้อความที่จำเลยที่ 1 ขอแก้ไขคำให้การเดิมจากที่จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธว่า ลายมือชื่อผู้เช่าซื้อในสัญญาเช่าซื้อมิใช่ลายมือชื่อของจำเลยที่ 1 และผู้ลงนามในสัญญาเช่าซื้อมิใช่กรรมการผู้มีอำนาจของโจทก์ เป็นว่าผู้ลงนามในฐานะเจ้าของผู้ให้เช่าซื้อมิใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่ให้เช่าซื้อในขณะทำสัญญาเช่าซื้อและมิใช่กรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ได้ตามกฎหมายในขณะทำสัญญาเช่าซื้อ ข้อความที่จำเลยที่ 1 ขอแก้ไขดังกล่าวจึงเป็นการสละข้อต่อสู้เดิมที่ว่าสัญญาเช่าซื้อเป็นเอกสารปลอม และยกข้อต่อสู้ว่าผู้ลงนามในฐานะเจ้าของผู้ให้เช่าซื้อมิใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่ให้เช่าซื้อในขณะทำสัญญาเช่าซื้อและมิใช่กรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ในขณะทำสัญญาเช่าซื้ออันเป็นข้อต่อสู้ใหม่นอกเหนือจากคำให้การเดิมและเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 อาจยื่นคำร้องขอแก้ไขได้ก่อนวันชี้สองสถาน กรณีเช่นว่านี้มิใช่เป็นการแก้ไขข้อผิดพลาดเล็กน้อยหรือข้อผิดหลงเล็กน้อย ทั้งข้อความที่จำเลยที่ 1 ขอแก้ไขเป็นข้อความที่โจทก์บรรยายฟ้องมาโดยชัดแจ้งแล้วว่าโจทก์ได้มอบอำนาจให้นายสุเมธ อุปการัตน์เป็นผู้มีอำนาจลงนามในสัญญาเช่าซื้อแทนโจทก์ และจำเลยที่ 1 ก็มิได้ให้การปฏิเสธหรือต่อสู้ในข้อนี้แต่ประการใด ข้อความที่จำเลยที่ 1 ขอแก้ไขดังกล่าวจึงหาได้มีผลกระทบถึงความสมบูรณ์ของสัญญาเช่าซื้ออันจะเป็นการขอแก้ไขในเรื่องที่เกี่ยวกับความสงบร้อยของประชาชนอย่างใดไม่ การที่จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การภายหลังวันชี้สองสถานเช่นนี้ จึงเป็นการฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 180 ที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งและคำพิพากษายืนตามกันมาไม่อนุญาตให้จำเลยที่ 1 แก้ไขคำให้การนั้นชอบแล้ว
อนึ่ง คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยที่ 1 แก้ไขคำให้การซึ่งมีผลเป็นการยกคำร้องของจำเลยที่ 1 แต่ศาลชั้นต้นมิได้สั่งในเรื่องค่าคำร้อง ศาลฎีกาเห็นสมควรสั่งให้ถูกต้อง”
พิพากษายืน