แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามสัญญาเช่าที่พิพาทระหว่างโจทก์และ ส. มิได้ระบุเรื่องสถานที่ชำระค่าเช่าไว้ ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 324บัญญัติว่าต้องชำระหนี้ ณ สถานที่ซึ่งเป็นภูมิลำเนาปัจจุบันของเจ้าหนี้ ฉะนั้นแม้ทางปฏิบัติ ส. จะให้คนไปเก็บค่าเช่าก็เป็นเพียงข้อปฏิบัติระหว่างโจทก์และ ส. เท่านั้น เมื่อจำเลยทั้งสองเป็นผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาท ทำให้จำเลยทั้งสองมีฐานะเป็นผู้ให้เช่า ข้อปฏิบัติระหว่างโจทก์และ ส. หาโอนมาด้วยเพราะไม่ใช่สิทธิและหน้าที่ซึ่งเกิดขึ้นตามสัญญาเช่า การที่โจทก์นำค่าเช่าไปวาง ณ สำนักงานวางทรัพย์ ถือไม่ได้ว่าโจทก์ชำระค่าเช่ายังภูมิลำเนาปัจจุบันของจำเลยแล้วโจทก์จึงผิดนัดชำระค่าเช่า สำนวนคดีที่สองซึ่งรวมพิจารณากับคดีนี้ถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยไม่มีฝ่ายใดอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจพิพากษาคดีในส่วนที่เกี่ยวกับสำนวนคดีที่สองให้เป็นโทษแก่โจทก์คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในส่วนที่เกี่ยวกับสำนวนคดีที่สอง จึงไม่ชอบ
ย่อยาว
คดีนี้เดิมศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2390/2532 ของศาลชั้นต้น แต่คดีดังกล่าวถึงที่สุดโดยคู่ความมิได้อุทธรณ์คงขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาเฉพาะคดีนี้
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้เช่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างจากนายสุชาติ ชำนาญหมอ ผู้ให้เช่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวจากการขายทอดตลาดของศาลตามคดีล้มละลายหมายเลขแดงที่ ล.114/2528 และโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเมื่อวันที่23 เมษายน 2530 หลังจากนั้นจำเลยทั้งสองได้เข้าครอบครองที่ดินดังกล่าวไม่ปฏิบัติตามสัญญาเช่า และได้ใช้สิทธิก่อกวนรบกวนการครอบครองของโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองเลิกยุ่งเกี่ยวกับที่พิพาท ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายจำนวน 112,354 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเป็นรายเดือน เดือนละ43,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะเลิกยุ่งเกี่ยวกับที่พิพาท
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์มิใช่ผู้เช่าที่พิพาทหากแต่โจทก์กับนายสุชาติ ชำนาญหมอ ฉ้อฉลทำนิติกรรมการเช่าลวงย้อนหลังขึ้นไปจึงตกเป็นโมฆะ ไม่มีผลบังคับแก่จำเลยทั้งสอง หากสัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับนายสุชาติมีผลใช้บังคับจำเลยทั้งสอง โจทก์ก็ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าให้แก่จำเลย ซึ่งจำเลยที่ 1 ได้บอกเลิกสัญญาเช่าแก่โจทก์ไปแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะครอบครองถือเอาประโยชน์จากที่พิพาทอีกต่อไป ขอให้ยกฟ้องและให้เพิกถอนสัญญาเช่าที่พิพาทระหว่างนายสุชาติกับโจทก์ห้ามโจทก์เข้าเกี่ยวข้องในที่พิพาทอีกต่อไป ให้ส่งมอบการครอบครองคืนแก่จำเลยทั้งสองในสภาพเรียบร้อย ให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยทั้งสองเท่ากับอัตราค่าเช่าที่โจทก์ได้รับจากพ่อค้าเป็นเงินเดือนละ42,000 บาท นับแต่วันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าโจทก์จะออกจากที่พิพาท
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ฟ้องแย้งเคลือบคลุมและเป็นฟ้องซ้อนกับสำนวนคดีหมายเลขดำที่ 15561/2530 ของศาลชั้นต้น โจทก์ไม่ได้ทำสัญญาเช่าโดยฉ้อฉล ทั้งชำระค่าเช่าตลอดมาไม่ได้ผิดสัญญาโจทก์ไม่ได้รับหนังสือบอกกล่าวเลิกสัญญาเช่าจากจำเลยทั้งสองจำเลยทั้งสองไม่เสียหาย ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า ฟ้องแย้งของจำเลยไม่เคลือบคลุมและไม่เป็นฟ้องซ้อนกับคดีหมายเลขดำที่ 15561/2530ของศาลชั้นต้น โจทก์ทำสัญญาเช่าที่พิพาทตามสัญญาเช่าเอกสารหมาย จ.1โดยมีเจตนาลวงสมรู้กันกับผู้ให้เช่า สัญญาเช่าจึงตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 118 สัญญาเช่าไม่มีผลผูกพันจำเลยทั้งสองผู้ซื้อที่พิพาทจากการขายทอดตลาดของศาล การที่โจทก์เข้าครอบครองที่พิพาทและเก็บเงินรายได้จากผู้เช่าแผงลอยในที่พิพาทเป็นการกระทำละเมิดต่อจำเลยทั้งสอง ทำให้จำเลยทั้งสองเสียหายพิพากษายกฟ้องโจทก์สำนวนแรกและสำนวนที่สอง และบังคับคดีตามฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสอง ให้เพิกถอนสัญญาเช่าที่พิพาทระหว่างโจทก์และนายสุชาติ ชำนาญหมอ ตามเอกสารหมาย จ.1 ห้ามโจทก์เข้าเกี่ยวข้องกับที่พิพาทอีกต่อไป ให้โจทก์ส่งมอบการครอบครองที่พิพาทคืนจำเลยทั้งสองและใช้ค่าเสียหายให้จำเลยทั้งสองเดือนละ 30,000 บาทนับแต่วันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าโจทก์จะออกจากที่พิพาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสองเป็นฟ้องซ้อนกับคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 15561/2530 ของศาลชั้นต้น โจทก์เป็นผู้เช่าที่พิพาทจากนายสุชาติ ชำนาญหมอ ตามสัญญาเช่าเอกสารหมาย จ.1โดยชอบ จำเลยทั้งสองซื้อที่พิพาทจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลจึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่พิพาทตั้งแต่วันที่ซื้อ การที่จำเลยทั้งสองได้ประกาศแจ้งให้ผู้เช่าแผงลอยชำระค่าเช่าแก่จำเลยทั้งสองมิได้เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ และโจทก์ก็ไม่เสียหาย แต่โจทก์เป็นผู้เช่าที่พิพาทและสัญญาเช่ายังไม่หมดอายุการเช่า จำเลยทั้งสองจึงต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้เช่าเดิม จำเลยทั้งสองแจ้งให้โจทก์และผู้เช่าแผงลอยชำระค่าเช่าตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน2530 แต่โจทก์มิได้ชำระค่าเช่าภายในกำหนด ตามสัญญาเช่าไม่มีข้อความว่าให้ผู้เช่าไปเก็บค่าเช่าเองหรือมีประเพณีปฏิบัติเช่นนั้นโจทก์จึงอ้างไม่ได้ว่าจำเลยไม่ไปเก็บค่าเช่า โจทก์จึงผิดสัญญาโจทก์ค้างค่าเช่าเดือนละ 4,500 บาท ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2530ถึงวันฟ้องเป็นเวลา 3 เดือน เป็นเงิน 13,500 บาท จำเลยเลิกสัญญาเช่ากับโจทก์แล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิการเช่าที่พิพาทต่อไปพิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องโจทก์สำนวนแรกและให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสองด้วย ให้บังคับคดีตามคำฟ้องสำนวนที่สอง (คดีหมายเลขดำที่ 15561/2530) ให้โจทก์ชำระค่าเช่าที่ค้าง 13,500 บาท แก่จำเลยทั้งสองและค่าเสียหายอีกเดือนละ 4,500 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าโจทก์และบริวารจะออกไปจากที่พิพาท
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาตรวจวินิจฉัยว่า แม้โจทก์และนายสุชาติ ชำนาญหมอจะได้ทำสัญญาเช่าที่พิพาทตามเอกสารหมาย จ.1 ตามที่โจทก์กล่าวอ้างแต่ตามสัญญาเช่ามิได้ระบุเรื่องสถานที่ชำระค่าเช่าไว้ว่าให้ปฏิบัติอย่างไร ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 324 บัญญัติว่า”เมื่อมิได้มีแสดงเจตนาไว้โดยเฉพาะเจาะจงว่าจะพึงชำระหนี้ณ สถานที่ใดไซร้ ท่านว่าต้องชำระหนี้ ณ สถานที่ซึ่งเป็นภูมิลำเนาปัจจุบันของเจ้าหนี้” แม้ทางปฏิบัตินายสุชาติให้คนไปเก็บค่าเช่าตลอดตามที่โจทก์กล่าวอ้าง ก็เป็นเพียงข้อปฏิบัติระหว่างโจทก์และนายสุชาติเท่านั้น เมื่อจำเลยทั้งสองเป็นผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทมาอันมีผลให้จำเลยทั้งสองมีฐานะเป็นผู้ให้เช่า ข้อปฏิบัติระหว่างโจทก์และนายสุชาติหาได้โอนมาด้วยไม่ เพราะมิใช่สิทธิและหน้าที่ซึ่งเกิดขึ้นตามสัญญาเช่า ที่โจทก์อ้างว่าได้นำเงินไปชำระให้จำเลยทั้งสองก็เป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ขัดกับหนังสือขอให้ปฏิบัติตามสัญญาเช่าเอกสารหมาย จ.5 ซึ่งระบุว่าให้จำเลยทั้งสองไปรับชำระค่าเช่าจากโจทก์ การที่โจทก์นำค่าเช่าไปวาง ณ สำนักงานวางทรัพย์กลาง กรมบังคับคดี ถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้ชำระค่าเช่ายังภูมิลำเนาปัจจุบันของจำเลยแล้ว โจทก์จึงผิดนัดชำระค่าเช่าจำเลยทั้งสองมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่ากับโจทก์ โดยอ้างเหตุว่าโจทก์ไม่ชำระค่าเช่า อนึ่ง คดีสำนวนที่สองคือคดีหมายเลขแดงที่2390/2532 ของศาลชั้นต้น ซึ่งรวมพิจารณาพิพากษากับคดีนี้ เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาแล้วไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ คดีดังกล่าวจึงถึงที่สุดเมื่อสิ้นกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 147 วรรคสอง ดังนั้น ศาลอุทธรณ์จึงไม่มีอำนาจพิพากษาคดีในส่วนที่เกี่ยวกับสำนวนที่สองให้เป็นโทษแก่โจทก์ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้บังคับคดีตามคำฟ้องสำนวนที่สองให้โจทก์ชำระค่าเช่าที่ค้าง 13,500 บาท แก่จำเลยทั้งสองและค่าเสียหายอีกเดือนละ 4,500 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าโจทก์และบริวารจะออกไปจากที่พิพาท คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ส่วนนี้จึงไม่ชอบฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เฉพาะส่วนที่ให้บังคับคดีตามคำฟ้องสำนวนที่สอง ให้โจทก์ชำระค่าเช่าที่ค้าง13,500 บาท แก่จำเลยทั้งสองและค่าเสียหายอีกเดือนละ 4,500 บาทนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าโจทก์และบริวารจะออกไปจากที่พิพาทนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์