คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6690/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดให้โจทก์ระงับการนำรังวัดแบ่งแยกที่ดินพิพาทจนกว่าคดีที่โจทก์จำเลยถูกฟ้องจะถึงที่สุด โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะนำรังวัดแบ่งแยกที่ดินพิพาทและนำไปโอนขายให้แก่ผู้ร้องมาแต่ต้น ผู้ร้องจะอ้างว่าโจทก์ได้ทำการรังวัดแบ่งแยกเสร็จเรียบร้อยแล้วและโอนขายให้แก่ผู้ร้องก่อนมีคำพิพากษาศาลฎีกาไม่ได้ คดีไม่เกี่ยวกับเรื่องคำพิพากษาผูกพันเฉพาะคู่ความโดยไม่ผูกพันผู้ร้องซึ่งเป็นบุคคลภายนอกหรือในฐานะผู้ซื้อซึ่งรับโอนโดยสุจริต จำเลยมีสิทธิขออายัดการทำนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินพิพาทได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากโจทก์และจำเลยทั้งสองได้รับมรดกตามพินัยกรรมเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 76 โดยใส่ชื่อถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันในโฉนดที่ดินดังกล่าว ต่อมาโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้แบ่งแยกกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 76 ให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้จำเลยนำโฉนดมาส่งศาล ให้โจทก์นำโฉนดและคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยไปขอรังวัดแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมต่อไป จำเลยทั้งสองให้การรับว่าไม่ขัดข้องที่จะแบ่งแยกที่ดินตามพินัยกรรม แต่ขอให้แบ่งทรัพย์สินนอกพินัยกรรมตามสิทธิเสียก่อนศาลชั้นต้นจึงงดสืบพยานและพิพากษาให้จำเลยทั้งสองแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 76

ต่อมาจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้หมายเรียกโจทก์มาศาลและขอให้สั่งโจทก์ระงับการแบ่งแยกโฉนดที่ดินไว้ก่อนจนกว่าคดีดังกล่าวถึงที่สุด

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า โจทก์ดำเนินการตามคำพิพากษาถูกต้องแล้ว ให้ยกคำร้อง

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ขอให้กลับคำสั่งของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นนัดพร้อมและมีคำสั่งในชั้นบังคับคดีต่อไป

วันที่ 11 กันยายน 2528 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อบังคับคดีให้เป็นไปตามคำพิพากษา

วันที่ 16 กันยายน 2528 จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนและมีคำสั่งให้การบังคับคดีเฉลี่ยที่ดินลดลงตามส่วนด้วย ศาลชั้นต้นสั่งว่าศาลออกหมายบังคับคดีถูกต้องตรงตามคำพิพากษาแล้ว เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีตามหมายบังคับคดีถูกต้อง ให้ยกคำร้อง

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ขอให้การบังคับคดีแบ่งแยกที่ดินให้โจทก์ลดจำนวนเนื้อที่ลงตามส่วนที่ขาดหายไป

ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ได้รังวัดแบ่งแยกที่ดินพิพาทออกเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ 47264 และแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวออกเป็นที่ดินอีก 2 โฉนด คือที่ดินโฉนดเลขที่ 47527 และที่ดินโฉนดเลขที่ 47528 แล้วโจทก์ขายที่ดินโฉนดเลขที่ 47527 ให้แก่นายอุดม บัวแสงจันทร์ ผู้ร้อง ต่อมาศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ตามข้อกำหนดพินัยกรรมและตามบันทึกข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยที่ทำไว้ ณ สำนักงานที่ดินจังหวัดนครปฐม เป็นที่เห็นได้ชัดว่าจำนวนที่ดินที่จะตกลงแบ่งแยกแก่โจทก์จำเลยเป็นเพียงส่วนแบ่งที่จะถือเป็นหลักในการแบ่งแยก มิใช่เป็นจำนวนเนื้อที่ดินแท้จริงที่จะตกแก่แต่ละคนและแบ่งแยกให้เป็นการตายตัวตามนั้น หากที่ดินตามโฉนดขาดหายไปโจทก์ก็ไม่ชอบที่จะขอให้รังวัดแบ่งแยกที่ดินให้แก่โจทก์เป็นจำนวนเนื้อที่ 2 ไร่ 2 งานครบตามคำพิพากษา พิพากษากลับคำสั่งศาลชั้นต้นให้โจทก์ระงับการนำรังวัดแบ่งแยกที่ดินพิพาทไว้จนกว่าคดีที่โจทก์จำเลยถูกฟ้องจะถึงที่สุด ผลเป็นประการใดแล้วจึงจะดำเนินการบังคับคดีตามนัยที่กล่าวแล้วต่อไป

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาพิพากษายืน

จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้ดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกาต่อไปต่อมาวันที่ 15 สิงหาคม 2531 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าโจทก์ยังคงเข้าไปเกี่ยวข้องขอรังวัดแบ่งแยกที่ดินอันจะทำให้จำเลยเสียหาย ทั้งศาลฎีกาก็ได้มีคำพิพากษาให้โจทก์ระงับการแบ่งแยกที่ดินไว้เพื่อรอฟังผลคำพิพากษาในคดีอื่นอีกเช่นนี้ ประกอบกับจำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลดำเนินการในชั้นบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ให้ระงับการรังวัดแบ่งแยกที่ดินพิพาทไว้ก่อน จึงมีคำสั่งให้ดำเนินการตามที่จำเลยที่ 1 ร้องขอ โดยให้มีหนังสือแจ้งการอายัดไปยังเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครปฐม ขอให้ระงับการทำนิติกรรมใด ๆ อันเกี่ยวกับที่ดินโฉนดเลขที่ 76 และที่ดินโฉนดเลขที่ 47264 โฉนดเลขที่ 47527 ไว้จนกว่าศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น

วันที่ 22 สิงหาคม 2531 โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้น ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันเดียวกันว่าคำสั่งลงวันที่ 15 สิงหาคม 2531ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ไม่สมควรเพิกถอน ให้ยกคำร้องของโจทก์

โจทก์อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นลงวันที่ 15 และ 22 สิงหาคม 2531 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ถอนการอายัด ศาลชั้นต้นนัดพร้อมถึงวันนัด ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นผู้ซื้อที่ดินส่วนหนึ่งจากโจทก์ ตามโฉนดที่ดินเลขที่ 47527 จึงขอให้ถอนการอายัดที่ดินดังกล่าว

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว มีคำสั่งให้ถอนการอายัดที่ดินโฉนดเลขที่ 47527 ตามคำขอของผู้ร้อง

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์คำสั่ง

ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 โจทก์ถึงแก่กรรม นายยงยุทธ แก้วกัญจรทายาทซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของโจทก์ ยื่นคำร้องขอเป็นคู่ความแทนในชั้นบังคับคดีศาลชั้นต้นอนุญาต

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ไม่เพิกถอนคำสั่งการอายัดที่ดินโฉนดเลขที่ 47527 คงให้อายัดไว้เช่นเดิม ให้ศาลชั้นต้นแจ้งผลคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครปฐมทราบ

ผู้ร้องฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาผู้ร้องว่า ผู้ร้องจะขอให้ถอนการอายัดการทำนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินโฉนดเลขที่ 47527 ได้หรือไม่ ผู้ร้องฎีกาว่าแม้จะมีคำพิพากษาศาลฎีกาให้ระงับการนำรังวัดแบ่งแยกที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์จำเลย ซึ่งพิพาทกันเกี่ยวกับที่ดินโฉนดเลขที่ 76 ตำบลสระน้ำจัน (พระปฐมเจดีย์)อำเภอพระปฐมเจดีย์ (เมืองนครปฐม) จังหวัดนครชัยศรี (นครปฐม) อันเป็นการงดการบังคับคดีตามคำพิพากษาไว้จนกว่าคดีที่โจทก์จำเลยถูกสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ฟ้องจะถึงที่สุดก็ตาม คำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวก็มีผลผูกพันเฉพาะโจทก์จำเลยซึ่งเป็นคู่ความในคดี และมีผลนับแต่วันที่ 26 พฤษภาคม 2530 ซึ่งเป็นวันที่อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาเท่านั้น แต่โจทก์ได้ดำเนินการบังคับคดีโดยนำรังวัดแบ่งแยกที่ดินจากโฉนดเดิมเลขที่ 76 ตำบลสระน้ำจัน (พระปฐมเจดีย์) อำเภอพระปฐมเจดีย์(เมืองนครปฐม) จังหวัดนครชัยศรี (นครปฐม) มาเป็นที่ดินของโจทก์เลขที่ 47264แล้วโจทก์ได้แบ่งแยกที่ดินของโจทก์มาเป็นแปลงย่อยโฉนดเลขที่ 47527 และโฉนดเลขที่ 47528 และได้จดทะเบียนโอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 47527 ให้แก่ผู้ร้องเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2529 เป็นเวลาก่อนที่ศาลฎีกาจะมีคำพิพากษาเป็นการแบ่งแยกโดยชอบตามคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุดแล้ว ที่ดินพิพาทจึงตกเป็นของผู้ร้องโดยสมบูรณ์ตามกฎหมายจำเลยจึงไม่อาจร้องขออายัดการทำนิติกรรมที่ดินพิพาทของผู้ร้องซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริตได้ ชอบที่จะฟ้องเป็นคดีใหม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาให้อายัดที่ดินของผู้ร้องเป็นการห้ามบุคคลภายนอกไม่ให้ทำนิติกรรมจึงขัดต่อกฎหมาย และคำพิพากษาศาลฎีกาที่ให้ระงับการแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 76 นั้น ไม่อยู่ในวิสัยที่จะปฏิบัติได้ เห็นว่า ข้อเท็จจริงได้ความว่าโจทก์ จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้รับที่ดินโฉนดเลขที่ 76 ตำบลสระน้ำจัน (พระปฐมเจดีย์) อำเภอพระปฐมเจดีย์ (เมืองนครปฐม) จังหวัดนครชัยศรี (นครปฐม) มาตามพินัยกรรมร่วมกัน ในพินัยกรรมได้กำหนดส่วนสัดที่ดินที่ตกได้แก่โจทก์ จำเลยที่ 1 และที่ 2 และต่อมาทั้งโจทก์ จำเลยที่ 1 และ 2 ได้ทำบันทึกข้อตกลงเพื่อแบ่งที่ดินกันตามข้อกำหนดในพินัยกรรม ขณะที่อยู่ในระหว่างทำการรังวัดแบ่งแยกที่ดินกันนั้นก็ถูกสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ฟ้องโจทก์ จำเลยที่ 1 และที่ 2 จำเลยที่ 1 จึงได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นให้มีคำสั่งอายัดการแบ่งแยกที่ดินระหว่างโจทก์ จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไว้ก่อน เพื่อรอฟังผลในคดีดังกล่าวจนกว่าคดีจะถึงที่สุด แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งยกคำร้องของจำเลยที่ 1 แต่ต่อมาศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษาต้องกันว่า ให้โจทก์ระงับการนำรังวัดแบ่งแยกที่ดินพิพาทจนกว่าคดีที่โจทก์จำเลยถูกฟ้องจะถึงที่สุด ซึ่งเท่ากับเห็นด้วยกับคำร้องของจำเลยที่ 1 ที่ขออายัดการทำนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินพิพาท โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะนำรังวัดแบ่งแยกที่ดินพิพาทและนำไปโอนขายให้แก่ผู้ร้องมาแต่ต้น ผู้ร้องจะอ้างว่าโจทก์ได้ทำการรังวัดแบ่งแยกเสร็จเรียบร้อยแล้วและโอนขายให้แก่ผู้ร้องก่อนมีคำพิพากษาศาลฎีกาหาได้ไม่ และคดีไม่เกี่ยวกับเรื่องคำพิพากษาผูกพันเฉพาะคู่ความโดยไม่ผูกพันผู้ร้องซึ่งเป็นบุคคลภายนอกหรือในฐานะผู้ซื้อซึ่งรับโอนโดยสุจริตแต่อย่างใด จำเลยที่ 1 จึงมีสิทธิขออายัดการทำนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินพิพาทได้ต่อไปและยังไม่มีเหตุจะถอนการอายัดที่ดินโฉนดเลขที่ 47527 ตามคำขอของผู้ร้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share