คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 590/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

บันทึกที่จ. ให้ถ้อยคำต่อเจ้าพนักงานที่ดินมีใจความสำคัญว่าที่ดินมรดกที่มีชื่อฉ. ผู้ตายเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์นี้ทายาทของผู้ตายคือจำเลยและจ. แต่จ. ไม่ประสงค์จะขอรับมรดกที่ดินแปลงนี้แต่อย่างใดและยินยอมให้จำเลยเป็นผู้ขอรับมรดกที่ดินแปลงนี้แต่เพียงผู้เดียวนั้นเป็นบันทึกที่เจ้าพนักงานที่ดินปฏิบัติไปตามประมวลกฎหมายที่ดินฯมาตรา81ประกอบกฎกระทรวงมหาดไทยฉบับที่24(พ.ศ.2516)ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดินฯซึ่งถ้อยคำดังกล่าวไม่ใช่กรณีทายาทสละมรดกตามความหมายในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1612เพราะการสละมรดกตามมาตรานี้หมายถึงการสละส่วนหนึ่งของตนโดยไม่เจาะจงว่าจะให้แก่ทายาทคนใดแต่บันทึกถ้อยคำของจ. ดังกล่าวมีลักษณะเป็นการประนีประนอมยอมความมีผลบังคับได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา850,852และ1750ทั้งตามโฉนดที่ดินซึ่งจำเลยส่งศาลในวันชี้สองสถานระบุชื่อจำเลยเป็นผู้รับโอนเสร็จสิ้นโดยโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นทายาทของจ.ไม่คัดค้านความถูกต้องถือได้ว่าจำเลยผู้มีชื่อในโฉนดได้รับกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนี้โดยสมบูรณ์ตามกฎหมายที่ดินแล้วโจทก์ทั้งสองจึงไม่มีสิทธิฟ้องแบ่งที่ดินแปลงนี้จากจำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายจำรัส ธรรมสฤษฎ์ นายจำรัสและจำเลยเป็นบุตรของนางเฉาะวิจารณ์ นางเฉาะเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 3792 เนื้อที่7 ไร่ 3 งาน 80 ตารางวา พร้อมบ้านเลขที่ 187 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าว ต่อมา พ.ศ. 2527 นางเฉาะถึงแก่ความตาย บิดามารดาของโจทก์ทั้งสองพร้อมทั้งโจทก์ทั้งสองและจำเลยยังคงอาศัยอยู่ที่บ้านดังกล่าวตลอดมาจนกระทั่ง พ.ศ. 2534 นายจำรัสถึงแก่ความตายโจทก์ทั้งสองและมารดากับจำเลยยังคงพักอาศัยร่วมกันในบ้านและที่ดินดังกล่าวตลอดมา ต่อมาโจทก์ทั้งสองขอให้จำเลยจัดการแบ่งที่ดินอันเป็นทรัพย์มรดกของนางเฉาะในส่วนที่โจทก์ทั้งสองมีสิทธิจะได้รับ แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 3792 ให้แก่โจทก์ทั้งสองรวมเป็นเนื้อที่ 3 ไร่3 งาน 90 ตารางวา หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า ก่อนตายนางเฉาะได้บอกยกที่ดินโฉนดเลขที่ 3792ตามฟ้องให้แก่จำเลยผู้เดียวซึ่งนายจำรัสบิดาของโจทก์ทั้งสองรับรู้ด้วย หลังจากจัดการศพนางเฉาะแล้วจำเลยครอบครองที่ดินดังกล่าวทั้งหมดตลอดมาโดยยึดถือครอบครองเพื่อตนด้วยเจตนาเป็นเจ้าของส่วนนายจำรัสยังคงอาศัยอยู่บ้านเลขที่ 187 ในฐานะเป็นผู้อาศัยวันที่ 2 ธันวาคม 2530 นายจำรัสยื่นเรื่องราวต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครปฐม ยกสิทธิของตนที่มีในทรัพย์มรดกของนางเฉาะถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 3792 ดังกล่าวครึ่งหนึ่งให้แก่จำเลยทั้งหมด จำเลยจึงได้จดทะเบียนรับโอนมรดกของนางเฉาะคือที่ดินโฉนดเลขที่ 3792 เป็นของจำเลยแต่เพียงผู้เดียวมิใช่ทรัพย์มรดกของนางเฉาะอีกต่อไปและโจทก์มิได้ฟ้องคดีเพื่อขอแบ่งที่ดินแปลงนี้ภายในกำหนด 1 ปี นับแต่นางเฉาะถึงแก่ความตาย คดีของโจทก์จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ในชั้นพิจารณาโจทก์ทั้งสองและจำเลยแถลงรับกันว่านางเฉาะ วิจารณ์ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 3792ตามฟ้อง นางเฉาะมีบุตร 2 คน คือนายจำรัส ธรรมสฤษฎ์ และจำเลยนายจำรัสมีภรรยาชื่อนางเสวก ธรรมสฤษฎ์ และมีบุตร 3 คนคือโจทก์ทั้งสองและนางสาวทองสุข ธรรมสฤษฎ์ ภรรยาและบุตรของนายจำรัสมีชีวิตอยู่ทุกคน หลังจากนางเฉาะถึงแก่กรรมแล้วในวันที่ 2 ธันวาคม 2530 นายจำรัส ทำบันทึกถ้อยคำต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่าไม่ประสงค์จะขอรับมรดกที่ดินแปลงดังกล่าวและยินยอมให้จำเลยเป็นผู้ขอรับมรดกที่ดินแปลงนี้เพียงผู้เดียวตามบันทึกถ้อยคำเอกสารหมาย จ.1 (ตรงกับเอกสารหมาย ล.5) โจทก์ทั้งสองและจำเลยขอสละประเด็นพิพาททั้งหมด และขอให้ศาลวินิจฉัยเพียงประเด็นเดียวว่า เมื่อนายจำรัสทำบันทึกดังกล่าวแล้ว โจทก์ทั้งสองมีสิทธิฟ้องแบ่งที่ดินดังกล่าวจากจำเลยได้หรือไม่เพียงใด โดยโจทก์ทั้งสองและจำเลยไม่สืบพยาน
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 3792 ตำบลธรรมศาลา อำเภอเมืองนครปฐมจังหวัดนครปฐม ให้แก่โจทก์ทั้งสองกึ่งหนึ่งเป็นเนื้อที่ 3 ไร่3 งาน 90 ตารางวา หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีข้อเดียวว่า เมื่อนายจำรัสบิดาของโจทก์ทั้งสองทำบันทึกถ้อยคำเอกสารหมาย จ.1 (ตรงกับเอกสารหมาย ล.5) แล้วโจทก์ทั้งสองมีสิทธิฟ้องแบ่งที่ดินตามฟ้องอันเป็นทรัพย์มรดกของนางเฉาะจากจำเลยได้หรือไม่เพียงใด เห็นว่า ตามบันทึกถ้อยคำเอกสารหมาย จ.1(ตรงกับเอกสารหมาย ล.5) เป็นบันทึกที่นายจำรัส ธรรมสฤษฎ์ให้ถ้อยคำต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครปฐม มีใจความสำคัญว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 3792 ตำบลธรรมศาลา อำเภอเมืองนครปฐมจังหวัดนครปฐม มีชื่อนางเฉาะ วิจารณ์ เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ซึ่งได้ตายไปแล้ว วันนี้ (วันที่ 2 ธันวาคม 2530) ทายาทของผู้ตายคือจำเลยได้มายื่นเรื่องราวขอรับมรดกที่ดินแปลงนี้ของนางเฉาะ นายจำรัสได้รับทราบเรื่องราวและประกาศขอรับมรดกที่ดินแปลงนี้โดยตลอดแล้ว นายจำรัสเป็นทายาทของผู้ตาย มีสิทธิที่จะได้รับมรดกที่ดินแปลงนี้ด้วย แต่นายจำรัสไม่ประสงค์จะขอรับมรดกที่ดินแปลงนี้แต่อย่างใดและยินยอมให้จำเลยเป็นผู้ขอรับมรดกที่ดินแปลงนี้แต่เพียงผู้เดียว ดังนี้ ย่อมเห็นได้ว่าถ้อยคำของนายจำรัสเป็นบันทึกที่เจ้าพนักงานที่ดินปฏิบัติไปตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 81 ประกอบกฎกระทรวงมหาดไทย ฉบับที่ 24(พ.ศ. 2516) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดินพ.ศ. 2497 ซึ่งถ้อยคำของนายจำรัสดังกล่าวไม่ใช่กรณีทายาทสละมรดกตามความหมายในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1612เพราะการสละมรดกตามมาตรานี้หมายถึงการสละส่วนหนึ่งของตน โดยไม่เจาะจงว่าจะให้แก่ทายาทคนใด แต่บันทึกถ้อยคำของนายจำรัสดังกล่าวมีลักษณะเป็นการประนีประนอมยอมความ มีผลบังคับได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850, 850 และ 1750 ทั้งตามโฉนดที่ดินเอกสารหมาย ล.4 ซึ่งจำเลยได้ส่งศาลในวันชี้สองสถานโดยโจทก์ทั้งสองไม่คัดค้านความถูกต้องก็ปรากฏว่าระบุชื่อจำเลยเป็นผู้รับโอนเสร็จสิ้น อันถือได้ว่าจำเลยผู้มีชื่อในโฉนดได้รับกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนี้โดยสมบูรณ์ตามกฎหมายที่ดินแล้ว โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นทายาทของนายจำรัสจึงไม่มีสิทธิฟ้องแบ่งที่ดินแปลงนี้จากจำเลย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงนี้ให้แก่โจทก์ทั้งสองกึ่งหนึ่งนั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยก ฟ้อง

Share