แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
การซื้อขายสินค้าระหว่างโจทก์และจำเลยมีใบส่งสินค้าซึ่งมีข้อความว่า สินค้าตามรายการข้างต้น แม้จะได้ส่งมอบต่อผู้ซื้อแล้ว ก็ยังเป็นทรัพย์สินของผู้ขายอยู่จนกว่าผู้ซื้อได้ชำระเงินเสร็จเรียบร้อยแล้ว แม้ใบส่งสินค้าจะไม่ปรากฏลายมือชื่อของผู้รับสินค้าและผู้ส่งของ แต่เอกสารดังกล่าวเป็นสำเนาภาพถ่ายตรงกับเอกสารท้ายฟ้องซึ่งโจทก์ได้กล่าวในคำฟ้องและนำสืบถึงข้อความในเอกสารดังกล่าวไว้ชัดแจ้งแล้วสำหรับต้นฉบับสูญหาย โดยจำเลยให้การรับว่า ได้ซื้อสินค้าจากโจทก์ตามเอกสารดังกล่าวจริง และไม่ได้ให้การปฏิเสธกับนำสืบโต้แย้งว่าไม่รู้เห็นด้วยกับข้อความในเอกสารดังกล่าว จึงฟังได้ว่า สัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์และจำเลยมีเงื่อนไขกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ซื้อขายยังไม่โอนไปจนกว่าการจะได้เป็นไปตามเงื่อนไขตาม ป.พ.พ. มาตรา 459 ดังนี้ เมื่อโจทก์ยังไม่ได้รับชำระราคาสินค้า กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ซื้อขายจึงยังอยู่กับโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า เมื่อระหว่างเดือนตุลาคม 2539 ถึงเดือนตุลาคม 2540 จำเลยสั่งซื้อสินค้าประเภทจักรเย็บผ้า คลัตช์มอเตอร์และโต๊ะจักรจากโจทก์หลายครั้ง คิดเป็นเงินค่าสินค้า 1,194,000 บาท จำเลยรับมอบสินค้าดังกล่าวจากโจทก์แล้วโดยมีเงื่อนไขว่า แม้จะได้ส่งมอบสินค้าให้แก่จำเลยแล้ว สินค้าก็ยังเป็นทรัพย์สินของโจทก์อยู่จนกว่าจำเลยจะชำระเงินเสร็จเรียบร้อย จำเลยสั่งจ่ายเช็คชำระค่าสินค้าแก่โจทก์รวม 3 ฉบับ เมื่อเช็คถึงกำหนด ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์มีหนังสือทวงถามให้จำเลยส่งมอบจักรเย็บผ้า คลัตช์มอเตอร์และโต๊ะจักรคืน แต่จำเลยเพิกเฉย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายและขาดประโยชน์จากการนำทรัพย์สินดังกล่าวออกให้เช่าได้ในอัตราวันละ 10,400 บาท นับแต่วันที่จำเลยรับหนังสือทวงถามจนถึงวันฟ้องคิดเป็นเงิน 312,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยส่งมอบจักรเย็บผ้า คลัตช์มอเตอร์และโต๊ะจักรตามฟ้องคืนในสภาพเรียบร้อยสมบูรณ์หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนเป็นเงิน 1,194,000 บาท และให้จำเลยชำระค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์ จำนวน 312,000 บาท และค่าเสียหายต่อไปอีกวันละ 10,400 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะส่งมอบจักรเย็บผ้า คลัตช์มอเตอร์และโต๊ะจักรตามฟ้องคืน หรือชดใช้เงินจนเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์เคยฟ้องจำเลยในมูลหนี้เดียวกันกับคดีนี้ต่อศาลชั้นต้นเป็นคดีหมายเลขดำที่ 210/2544 และคดีหมายเลขแดงที่ 1521/2545 เรียกให้จำเลยชำระราคาสินค้าประเภทจักรเย็บผ้า คลัตช์มอเตอร์และโต๊ะจักรที่จำเลยซื้อไปจากโจทก์ ซึ่งศาลมีคำพิพากษายกฟ้อง เนื่องจากมูลหนี้ขาดอายุความและคดีถึงที่สุดแล้ว ฉะนั้น เมื่อโจทก์นำคดีที่มูลหนี้อย่างเดียวกันมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำ การที่จำเลยซื้อสินค้าประเภทจักรเย็บผ้า คลัตช์มอเตอร์และโต๊ะจักรตามฟ้องเป็นการซื้อขายเสร็จเด็ดขาด กรรมสิทธิ์ในสินค้าจึงโอนเป็นของจำเลยแล้วนับแต่วันที่ได้รับมอบสินค้า แม้ว่าเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายชำระค่าสินค้านั้นจะเรียกเก็บเงินไม่ได้ก็ตาม อีกทั้งโจทก์มีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระราคาสินค้าโดยไม่ใช้สิทธิฟ้องเรียกให้จำเลยส่งมอบสินค้าคืนแต่อย่างใด โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกให้ส่งมอบจักรเย็บผ้า คลัตช์มอเตอร์และโต๊ะจักรคืนแก่โจทก์และจำเลยไม่ต้องชดใช้ค่าขาดประโยชน์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า จำเลยซื้อสินค้าไปจากโจทก์ตามฟ้องรวมราคา 1,194,000 บาท แล้วชำระราคาด้วยเช็คแต่เช็คเรียกเก็บเงินไม่ได้ มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิเรียกให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์และใช้ค่าเสียหายตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า การซื้อขายสินค้าระหว่างโจทก์และจำเลยมีใบส่งสินค้า ซึ่งมีข้อความว่า สินค้าตามรายการข้างต้นแม้จะได้ส่งมอบต่อผู้ซื้อแล้ว ก็ยังเป็นทรัพย์สินของผู้ขายอยู่ จนกว่าผู้ซื้อได้ชำระเงินเสร็จเรียบร้อยแล้ว แม้ใบส่งสินค้าจะไม่ปรากฏลายมือชื่อของผู้รับสินค้าและผู้ส่งของแต่เอกสารดังกล่าวเป็นสำเนาภาพถ่ายตรงกับเอกสารท้ายฟ้อง ซึ่งโจทก์ได้กล่าวในคำฟ้องและนำสืบถึงข้อความในเอกสารดังกล่าวไว้ชัดแจ้งแล้ว สำหรับต้นฉบับสูญหาย โดยจำเลยให้การรับว่า ได้ซื้อสินค้าจากโจทก์ตามเอกสารดังกล่าวจริงและไม่ได้ให้การปฏิเสธกับนำสืบโต้แย้งว่าไม่รู้เห็นด้วยกับข้อความในเอกสารดังกล่าวจึงฟังได้ว่า สัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์และจำเลยมีเงื่อนไข กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ซื้อขายยังไม่โอนไปจนกว่าการจะได้เป็นไปตามเงื่อนไข ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 459 ดังนี้ เมื่อโจทก์ยังไม่ได้รับชำระราคาสินค้า กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ซื้อขายจึงยังอยู่กับโจทก์ ส่วนคดีก่อนที่โจทก์ใช้สิทธิเรียกให้จำเลยชำระราคาสินค้า ไม่ได้ใช้สิทธิเรียกให้จำเลยคืนทรัพย์สินนั้น ก็เป็นสิทธิของโจทก์ที่จะกระทำได้ตามสัญญาซื้อขายและเมื่อสิทธิเรียกร้องในคดีดังกล่าวขาดอายุความแล้วย่อมไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะใช้สิทธิเรียกให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์สินในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 เมื่อโจทก์ทวงถามเรียกให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์สินแล้ว จำเลยเพิกเฉย โจทก์ย่อมได้รับความเสียหาย แต่ที่โจทก์นำสืบว่า โจทก์ได้รับความเสียหายจากการขาดประโยชน์ที่สามารถนำทรัพย์สิน คือ จักรเย็บผ้าไปให้บุคคลภายนอกเช่าได้วันละ 100 บาท ต่อจักร 1 ตัวรวมค่าเช่าวันละ 10,400 บาท นั้น เป็นเพียงการคาดหมายของโจทก์เท่านั้น ไม่แน่เสมอไปว่าจะมีผู้มาเช่าจักรเย็บผ้าของโจทก์ทั้งหมดทุกวัน และเช่าได้ในอัตราดังกล่าวเห็นควรกำหนดค่าเสียหายในส่วนนี้เฉลี่ยเดือนละ 12,000 บาท จำเลยได้รับหนังสือทวงถามวันที่ 4 มิถุนายน 2545 ต้องคืนจักรเย็บผ้าแก่โจทก์ภายใน 7 วัน นับแต่วันได้รับหนังสือซึ่งครบกำหนดในวันที่ 11 มิถุนายน 2545 จำเลยจึงต้องคืนจักรเย็บผ้าแก่โจทก์ภายในวันดังกล่าวและต้องใช้ค่าเสียหายเมื่อพ้นวันดังกล่าวคือ ตั้งแต่วันที่ 12 มิถุนายน 2545 เป็นต้นไป สำหรับราคาทรัพย์สินของโจทก์คือ จักรเย็บผ้านั้นโจทก์จะเรียกให้จำเลยใช้ราคาเท่ากับราคาขายซึ่งรวมกำไรเข้าด้วยไม่ได้ทั้งก่อนที่โจทก์จะทวงถาม จักรเย็บผ้าดังกล่าวย่อมเสื่อมราคาไปตามสภาพ โจทก์เรียกให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาจักรเย็บผ้าตามฟ้อง รวม 104 ชุด เป็นเงิน 1,194,000 บาท ตกชุดละ 11,480.77 บาท ซึ่งจำเลยสั่งซื้อจากโจทก์ไประหว่างเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน 2539 จำนวน 100 ชุด และเดือนตุลาคม 2540 จำนวน 4 ชุดโจทก์ทวงถามให้จำเลยคืนจักรเย็บผ้าทั้งหมดในเดือนพฤษภาคม 2545 ภายหลังจากจำเลยสั่งซื้อแล้วประมาณ 5 ปี เห็นควรกำหนดราคาจักรเย็บผ้าดังกล่าวในขณะทวงถามเฉลี่ยชุดละ 6,000 บาท รวม 104 ชุดเป็นเงิน 624,000 บาท ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษากลับ ให้จำเลยคืนจักรเย็บผ้าตามฟ้องแก่โจทก์ หากไม่คืนให้ใช้ราคา 624,000 บาท และให้จำเลยใช้ค่าขาดประโยชน์เดือนละ 12,000 บาท แก่โจทก์นับแต่วันที่ 12 มิถุนายน 2545 เป็นต้นไปจนกว่าจะคืนหรือใช้ราคาจักรเย็บผ้าตามฟ้องแก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ