แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำพิพากษากลับคำสั่งของศาลชั้นต้นและให้ดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่เท่ากับให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและให้พิจารณาคดีใหม่ จำเลยจึงต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาหรือคำสั่งมาวางศาลพร้อมอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 229 เมื่อจำเลยไม่นำค่าธรรมเนียมมาวางศาลพร้อมอุทธรณ์จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบ
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินตามเช็ครวม 6 ฉบับ พร้อมดอกเบี้ยเป็นเงิน526,248.80 บาทกับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 498,976 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2541 จำเลยที่ 1และที่ 2 ยื่นคำร้องว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นบุคคลคนเดียวกันและจำเลยที่ 1 และที่ 2 ขอขยายระยะเวลายื่นคำให้การจนถึงวันที่ 4 พฤษภาคม2541 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าคดีไม่มีข้อยุ่งยากจึงให้ยื่นเข้ามาภายในวันที่ 7เมษายน 2541 ค่าคำร้องเป็นพับ ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยทั้งสามขาดนัดยื่นคำให้การตามคำขอของโจทก์ ฉบับลงวันที่ 30 เมษายน 2541ครั้นวันที่ 4 พฤษภาคม 2541 จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นคำให้การศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าคำสั่งศาลเกี่ยวกับคำร้องที่ศาลอนุญาตขยายระยะเวลายื่นคำให้การบางส่วนเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 226(1) จึงไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองคืนค่าขึ้นศาลทั้งหมดวันที่ 18 พฤษภาคม2541 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าการอุทธรณ์คำสั่ง ศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ต้องยื่นเป็นอุทธรณ์ จำเลยที่ 1 และที่ 2 ทำเป็นคำร้องจึงไม่รับให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ทำมาใหม่ให้ถูกต้องในวันเดียวกันนั้นเองจำเลยที่ 1และที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้งดสืบพยานโจทก์ไว้เป็นการชั่วคราวก่อน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งคำร้องฉบับดังกล่าวเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2541 ว่า กรณีไม่มีเหตุให้งดสืบพยานโจทก์ยกคำร้องค่าคำร้องให้เป็นพับ และเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน2541 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ยื่นคำแถลงขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเกี่ยวกับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ใหม่ แล้วส่งศาลอุทธรณ์ต่อไปศาลชั้นต้นสั่งคำแถลงฉบับดังกล่าวในวันที่ 15 มิถุนายน 2541 ว่ากรณีไม่มีเหตุจะเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมยกคำแถลง ครั้นถึงวันนัดสืบพยานโจทก์วันที่ 17 กรกฎาคม 2541 จำเลยทั้งสามไม่ไปศาล ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งว่าจำเลยทั้งสามขาดนัดพิจารณาให้พิจารณาชี้ขาดตัดสินคดีโจทก์ไปฝ่ายเดียว และเมื่อสืบพยานโจทก์เสร็จศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์ไปตรวจสอบและแถลงเกี่ยวกับตัวจำเลยที่ 2 และที่ 3 ว่าเป็นบุคคลเดียวกันหรือไม่ โดยให้แถลงภายใน 15 วัน และให้นัดฟังคำพิพากษาวันที่ 21สิงหาคม 2541 ให้ประกาศแจ้งวันนัดให้จำเลยทั้งสามทราบที่หน้าศาลแทนการส่งหมายวันที่ 27 กรกฎาคม 2541 โจทก์ยื่นคำแถลงว่าจำเลยที่ 2และที่ 3 เป็นบุคคลคนเดียวกันขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นสั่งคำแถลงดังกล่าวในวันที่ 28 กรกฎาคม 2541 ว่า เสนอวันนี้เมื่อฟังได้ว่าจำเลยที่ 2เป็นบุคคลคนเดียวกับตัวจำเลยที่ 3 ประกอบโจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2ซึ่งขาดนัดยื่นคำให้การจึงอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องได้ ให้จำหน่ายคดีโจทก์เฉพาะจำเลยที่ 2 ออกเสียจากสารบบความ ต่อมาวันที่ 20 สิงหาคม 2541จำเลยที่ 1 และที่ 2 (เป็นคนเดียวกับจำเลยที่ 3) ยื่นคำร้องขอให้ศาลงดการอ่านคำพิพากษาและขอให้ศาลเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบนับแต่กระบวนพิจารณาเกี่ยวกับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์เป็นต้นไป ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องฉบับดังกล่าวในวันที่ 21 สิงหาคม 2541ซึ่งเป็นวันนัดฟังคำพิพากษาว่าเสนอวันนี้ จำเลยทั้งสองไม่คัดค้านภายใน8 วัน นับแต่วันที่ถือว่าจำเลยทั้งสองทราบคือวันที่ 9 สิงหาคม 2541(ประกาศหน้าศาลให้จำเลยทั้งสามทราบในวันที่ 17 กรกฎาคม 2541)ดังนั้นกรณีเป็นการล่วงเลยระยะเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 วรรคสอง จึงให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับแล้วศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ร่วมกันชำระเงินจำนวน 498,976 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 5 มิถุนายน 2540 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้อง(ฟ้องวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2541) ต้องไม่เกิน 27,272.80 บาทกับให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์
จำเลยที่ 1 และที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกอุทธรณ์จำเลยที่ 1 และที่ 3ให้คืนค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์แก่จำเลยที่ 1 และที่ 3
จำเลยที่ 1 และที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1และที่ 3 ว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1และที่ 3 ชอบหรือไม่ ที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 ฎีกาว่า การดำเนินกระบวนพิจารณาหลังจากที่ศาลพิจารณาสั่งคำร้องอุทธรณ์คำสั่งลงวันที่ 18พฤษภาคม 2541 เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นเห็นว่า จำเลยที่ 1 และที่ 3 อุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำพิพากษากลับคำสั่งของศาลชั้นต้นและให้ดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ เท่ากับให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น และให้พิจารณาคดีใหม่จำเลยที่ 1 และที่ 3 จึงต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาหรือคำสั่งมาวางศาลพร้อมอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 เมื่อจำเลยที่ 1และที่ 3 ไม่นำค่าธรรมเนียมมาวางศาลพร้อมอุทธรณ์ดังกล่าว จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกอุทธรณ์จำเลยที่ 1 และที่ 3 มานั้น ศาลฎีกาเห็นด้วยในผล ฎีกาของจำเลยที่ 1และที่ 3 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน