คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2228/2544

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ในวันนัดพิจารณาครั้งสุดท้ายวันที่ 15 มิถุนายน 2542ทนายจำเลยมอบฉันทะให้เสมียนทนายมาศาล เมื่อเสร็จการพิจารณาศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษาวันที่ 15 กรกฎาคม2542 ซึ่งเสมียนทนายได้ทราบวันนัดแล้ว การที่เสมียนทนายทราบวันนัดต้องถือว่าจำเลยทราบวันนัดนั้นด้วย เมื่อถึงวันนัดจำเลยไม่มาศาล เพียงแต่ทนายจำเลยมอบฉันทะให้เสมียนทนายนำคำร้องมาขอเลื่อนโดยอ้างว่าจำเลยไปต่างประเทศ เป็นกรณีที่จำเลยไม่มาศาลโดยไม่มีเหตุสมควร สงสัยได้ว่าจำเลยหลบหนีหรือจงใจไม่มาฟังคำพิพากษา การที่ศาลชั้นต้นออกหมายจับและให้นัดฟังคำพิพากษาวันที่ 18 สิงหาคม 2542 เมื่อถึงวันนัดซึ่งพ้นหนึ่งเดือนแล้วไม่ได้ตัวจำเลยมาได้อ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลย จึงเป็นการอ่านคำพิพากษาโดยชอบและถือว่าจำเลยได้ฟังคำพิพากษาแล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 182 วรรคสาม ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม2542 ว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ให้จำคุก 2 เดือนโดยอ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลย และออกหมายจับจำเลยเพื่อบังคับตามคำพิพากษา ต่อมาจำเลยถูกจับเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2542 จำเลยยื่นอุทธรณ์ในวันที่ถูกจับว่า จำเลยไม่ทราบวันนัดฟังคำพิพากษา ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลยโดยไม่ชอบ ขอให้ยกเลิกการอ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้น และให้ถือว่าได้อ่านคำพิพากษาให้จำเลยฟังในวันที่ยื่นอุทธรณ์ศาลชั้นต้นสั่งว่า จำเลยยื่นอุทธรณ์เมื่อพ้นกำหนดเวลายื่นอุทธรณ์และคดีถึงที่สุดแล้วจึงไม่รับอุทธรณ์ ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2542 ว่า จำเลยไม่ทราบวันนัดฟังคำพิพากษาศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลย ทำให้จำเลยไม่ได้รับความเป็นธรรม ขอให้ศาลชั้นต้นไต่สวนเพื่อเพิกถอนการอ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้น และอ่านคำพิพากษาให้จำเลยฟังใหม่เพื่อจำเลยจะได้มีโอกาสอุทธรณ์คำพิพากษา ศาลชั้นต้นสั่งว่าการอ่านคำพิพากษากระทำโดยชอบแล้วไม่มีเหตุต้องไต่สวนยกคำร้อง

จำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นทั้งที่ไม่รับอุทธรณ์และยกคำร้องขอให้ไต่สวน

ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลย

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงปรากฏว่าศาลชั้นต้นนัดพิจารณาครั้งสุดท้ายวันที่ 15 มิถุนายน 2542 ในวันนัดทนายความของจำเลยมอบฉันทะให้เสมียนทนายความมาศาลเมื่อเสร็จการพิจารณา ศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษาวันที่ 15กรกฎาคม 2542 ถึงวันนัดจำเลยไม่มาศาล คงมีแต่เสมียนทนายความของจำเลยมายื่นคำร้องขอเลื่อนการฟังคำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่อนุญาต แต่เมื่อจำเลยไม่มาศาลจึงให้ออกหมายจับจำเลยและนัดฟังคำพิพากษาใหม่ในวันที่ 18 สิงหาคม 2542ถึงวันนัดฝ่ายจำเลยไม่มีผู้ใดมาศาล ศาลชั้นต้นจึงอ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลยและให้ออกหมายจับจำเลยมาเพื่อบังคับตามคำพิพากษาต่อมาจำเลยถูกจับนำตัวส่งศาลเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2542 ในวันนั้นจำเลยยื่นอุทธรณ์ว่าจำเลยไม่ทราบวันนัดฟังคำพิพากษาศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลยโดยไม่ชอบ ขอให้ยกเลิกการอ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้นและให้ถือว่าได้อ่านคำพิพากษาให้จำเลยฟังในวันที่ถูกจับ ต่อมาวันที่ 24 ธันวาคม 2542 จำเลยยื่นคำร้องขอให้ไต่สวนว่า จำเลยไม่ทราบวันนัดฟังคำพิพากษาการอ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่ชอบ และให้อ่านคำพิพากษาให้จำเลยฟังใหม่ มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยทราบวันนัดฟังคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ และกรณีมีเหตุสมควรไต่สวนเพื่อเพิกถอนการอ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้น และอ่านคำพิพากษาให้จำเลยฟังใหม่หรือไม่ เห็นว่า ในวันนัดพิจารณาครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2542 ทนายความของจำเลยมอบฉันทะให้เสมียนทนายความมาศาล เมื่อเสร็จการพิจารณาศาลชั้นต้นให้นัดฟังคำพิพากษาวันที่ 15 กรกฎาคม 2542ซึ่งเสมียนทนายความได้ทราบวันนัดฟังคำพิพากษาดังกล่าวแล้วเสมียนทนายความผู้รับมอบฉันทะให้มาศาลเป็นผู้แทนของทนายความ เสมียนทนายความทราบกระบวนพิจารณาคดีและคำสั่งศาลเช่นไร ย่อมต้องถือว่าทนายความทราบกระบวนพิจารณาคดีและคำสั่งศาลเช่นนั้น เช่นเดียวกันทนายความของจำเลยเป็นผู้แทนของจำเลยในการดำเนินคดี ทนายความทราบกระบวนพิจารณาคดีและคำสั่งศาลเช่นไร ย่อมต้องถือว่าจำเลยทราบกระบวนพิจารณาคดีและคำสั่งศาลเช่นนั้นด้วย ฉะนั้น เมื่อเสมียนทนายความของจำเลยทราบวันนัดฟังคำพิพากษากรณีย่อมต้องถือว่าจำเลยทราบวันนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 15 กรกฎาคม 2542 นั้นด้วย เมื่อถึงวันนัดฟังคำพิพากษาจำเลยไม่มาศาลเพียงแต่ทนายความของจำเลยมอบฉันทะให้เสมียนทนายความนำคำร้องมาขอเลื่อนการฟังคำพิพากษาโดยอ้างว่าจำเลยไปต่างประเทศเช่นนี้เป็นกรณีที่จำเลยไม่มาศาลโดยไม่มีเหตุสมควรสงสัยได้ว่าจำเลยหลบหนีหรือจงใจไม่มาฟังคำพิพากษาการที่ศาลชั้นต้นให้ออกหมายจับจำเลยมาเพื่อฟังคำพิพากษาและให้นัดฟังคำพิพากษาใหม่ในวันที่ 18 สิงหาคม 2542และเมื่อถึงวันนัดซึ่งพ้นหนึ่งเดือนนับแต่วันออกหมายจับแล้วไม่ได้ตัวจำเลยมาศาล ศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลยไปเป็นการอ่านคำพิพากษาโดยชอบด้วยกฎหมายและถือว่าจำเลยได้ฟังคำพิพากษาในวันดังกล่าวแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 182 วรรคสามประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 กรณีจึงไม่มีเหตุให้ไต่สวนเพื่อเพิกถอนการอ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้นและอ่านคำพิพากษาให้จำเลยฟังใหม่ ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share