แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยชักปืนออกมาจ้องไปทางร้อยตำรวจตรีเสรีและมีเสียงดัง “เชี๊ยะ” แสดงว่าจำเลยได้ยิงร้อยตำรวจตรีเสรีแล้ว แต่กระสุนปืนด้านกระสุนปืนจึงไม่ลั่นไปถูกร้อยตำรวจตรีเสรีสมเจตนาของจำเลย หากกระสุนปืนลั่นถูกร้อยตำรวจตรีเสรี ร้อยตำรวจตรีเสรีก็อาจจะถึงแก่ความตายได้ จำเลยจึงมีเจตนาฆ่าร้อยตำรวจตรีเสรี โดยจำเลยกระทำผิดไปตลอดแล้ว แต่การกระทำไม่บรรลุผล จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ และการที่ร้อยตำรวจตรีเสรีได้แจ้งข้อหาให้จำเลยทราบว่าจำเลยต้องหาฐานลักทรัพย์และแสดงหมายจับ จึงเป็นการปฏิบัติการตามหน้าที่พฤติการณ์ของร้อยตำรวจตรีเสรีที่แสดงต่อจำเลยดังกล่าวฟังได้ว่าจำเลยรู้ว่าร้อยตำรวจตรีเสรีเป็นเจ้าพนักงานตำรวจมาจับจำเลยในข้อหาลักทรัพย์ จำเลยวิ่งหนีแล้วใช้อาวุธปืนยิงร้อยตำรวจตรีเสรีเพื่อต่อสู้ขัดขวางมิให้จับกุม การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติการตามหน้าที่ด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2511 เวลากลางวัน จำเลยมีอาวุธปืนพกลูกโม่ ขนาด .22 มม. จำนวน 1 กระบอก และกระสุน 3 นัดไว้ในความครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต
ตามวันเวลาดังกล่าว ร้อยตำรวจตรีเสรี สุกเพชร ได้ทำการจับกุมจำเลยในข้อหากระทำผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร โดยแจ้งข้อหาและแสดงหมายจับให้จำเลยทราบ แต่จำเลยบังอาจต่อสู้ขัดขวางไม่ยอมให้จับกุม และใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงร้อยตำรวจตรีเสรี 1 นัด โดยเจตนาฆ่า แต่จำเลยบังอาจต่อสู้ขัดขวางไม่ยอมให้จับกุม และใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงร้อยตำรวจตรีเสรี 1 นัด โดยเจตนาฆ่า แต่เนื่องจากกระสุนปืนด้านยิงไม่ออก ร้อยตำรวจตรีเสรีจึงไม่ถึงแก่ความตายสมดังเจตนาของจำเลย จำเลยได้ลงมือกระทำไปตลอดแล้ว แต่การกระทำไม่บรรลุผล ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138, 140, 288, 289, 80 และ พระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯลฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2510 มาตรา 3 ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นสงสัยพยานโจทก์ พิพากษายกฟ้องโจทก์ ของกลางริบ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามฟ้อง แต่ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 ประกอบด้วยมาตรา 80, 52ซึ่งเป็นกระทงหนัก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ให้จำคุกจำเลย16 ปี ปืนและกระสุนของกลางคงให้ริบ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยถูกหาว่าเป็นคนร้ายลักทรัพย์ของร้อยตำรวจตรีบุญนะจากอำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี และร้อยตำรวจตรีเสรีพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอบางกรวยได้ออกหมายจับจำเลยไว้แล้วในวันเกิดเหตุร้อยตำรวจตรีเสรีกับพวกพากันไปจับจำเลยที่บ้านภรรยาจำเลยซึ่งอยู่ที่ตำบลสัตตหีบ จังหวัดชลบุรี ครั้นพบจำเลย ร้อยตำรวจตรีเสรีได้แสดงตัวว่าเป็นเจ้าพนักงานแจ้งข้อหาและแสดงหมายจับและจับข้อมือจำเลยจะใส่กุญแจมือ จำเลยสะบัดมือวิ่งหนี ในที่สุดร้อยตำรวจตรีเสรีจับกุมจำเลยได้
มีปัญหาว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงร้อยตำรวจตรีเสรีโดยเจตนาฆ่าหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยชักปืนออกมาจ้องไปทางร้อยตำรวจตรีเสรีและมีเสียงดัง “เชี๊ยะ” แสดงว่าจำเลยได้ยิงร้อยตำรวจตรีเสรีแล้ว แต่กระสุนปืนด้าน กระสุนจึงไม่ลั่นไปถูกร้อยตำรวจตรีเสรีสมเจตนาของจำเลย หากกระสุนปืนลั่นถูกร้อยตำรวจตรีเสรี ร้อยตำรวจตรีเสรี ก็อาจจะถึงแก่ความตายได้ จำเลยมีเจตนาฆ่าร้อยตำรวจตรีเสรีโดยจำเลยกระทำผิดไปตลอดแล้ว แต่การกระทำไม่บรรลุผล
ปัญหาต่อไปมีว่า การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงร้อยตำรวจตรีเสรีนั้น เป็นการต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติการตามหน้าที่หรือไม่ ได้ความว่า จำเลยต้องหาว่าลักทรัพย์ที่จังหวัดนนทบุรี และพนักงานสอบสวนได้ออกหมายจับไว้แล้ว หมายจับใช้ได้ทั่วราชอาณาจักร ร้อยตำรวจตรีเสรีเป็นเจ้าพนักงานตำรวจมีหน้าที่ปฏิบัติตามหมายจับดังกล่าว เมื่อพบจำเลย ร้อยตำรวจตรีเสรีได้แจ้งข้อหาให้จำเลยทราบ และแสดงหมายจับแล้ว การกระทำของร้อยตำรวจตรีเสรีจึงเป็นการปฏิบัติการตามหน้าที่ พฤติการณ์ของร้อยตำรวจตรีเสรีที่แสดงต่อจำเลยดังกล่าวฟังได้ว่า จำเลยรู้ว่าร้อยตำรวจตรีเสรีเป็นเจ้าพนักงานตำรวจมาจับจำเลยข้อหาลักทรัพย์ จำเลยวิ่งหนีแล้วใช้อาวุธปืนยิงร้อยตำรวจตรีเสรีเพื่อต่อสู้ขัดขวางมิให้จับกุม การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามฟ้องของโจทก์ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลย ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน