คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 697/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลแรงงานพิจารณาข้อเท็จจริงในสำนวนจากคำเบิกความของโจทก์ พยานโจทก์ จำเลย และเอกสารที่เกี่ยวข้อง แล้ววินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2สั่งจ่ายเช็คชำระเป็นค่าจ้างให้โจทก์ และฟังเป็นยุติว่าค่าจ้างอัตราสุดท้ายของโจทก์เดือนละ 70,000 บาท ดังนี้ เมื่อศาลแรงงานฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวตรงกับพยานบุคคลและพยานเอกสารในสำนวนแล้ว คำวินิจฉัยของศาลแรงงานจึงชอบด้วยกฎหมาย ศาลแรงงานพิจารณาคำเบิกความของโจทก์ ภ.พยานโจทก์ จำเลยที่ 2และพฤติการณ์แห่งคดีแล้วฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 2 เลิกจ้างโจทก์ ที่จำเลยที่ 2อุทธรณ์อ้างว่าศาลแรงงานรับฟังคำเบิกความของ ภ.พยานโจทก์ว่า หลังจากออกจากงานแล้วโจทก์มาสมัครงานกับภ. แต่คำเบิกความของ ภ.ในสำนวนไม่ปรากฏข้อความดังกล่าวนั้น เมื่อปรากฏว่า ศาลแรงงานวินิจฉัยข้อเท็จจริงตอนนี้โดยรับฟังคำเบิกความของโจทก์ที่ยืนยันว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ และตั้งแต่กลางปี 2539 ธุรกิจของจำเลยที่ 2 ประสบปัญหาด้านการเงินทำให้จำเลยที่ 2 ขาดเงินทุนหมุนเวียน และติดค้างค่าเช่าสำนักงาน ค่ากระแสไฟฟ้า ทั้งจำเลยที่ 2ก็ชำระค่าจ้างเดือนกันยายน 2539 ให้โจทก์ไม่ครบ นอกจากนี้ศาลแรงงานยังรับฟังคำเบิกความของภ.พยานโจทก์ที่เบิกความสนับสนุนว่า ภ.เคยโทรศัพท์ไปยังสำนักงานของจำเลยที่ 1 ได้พูดกับผู้จัดการผู้ชายคนหนึ่งมารับโทรศัพท์และแจ้งว่าโจทก์เคยทำงานด้วย แต่ให้ออกไปแล้วโดยไม่ได้ระบุสาเหตุให้ออกเช่นนี้เห็นได้ว่าศาลแรงงานนำคำเบิกความของภ.มาวินิจฉัยสนับสนุนคำเบิกความของโจทก์ แม้คำพิพากษาศาลแรงงานกลางระบุว่า ภ.พยานโจทก์อีกปากหนึ่งก็เบิกความสนับสนุนว่า หลังจากออกจากงานแล้วโจทก์มาสมัครงานกับ ภ.ก็ตามข้อความดังกล่าวก็เป็นการวินิจฉัยของศาลแรงงานมิใช่เป็นคำเบิกความของ ภ.ดังนี้ จึงมิใช่ศาลแรงงานฟังข้อเท็จจริงขัดแย้งกับพยานหลักฐานในสำนวน

Share