คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6959/2538

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์ได้ซื้อที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3)จากผู้มีชื่อโจทก์ยื่นคำขอต่อเจ้าพนักงานที่ดินอำเภอให้รังวัดที่ดินแปลงดังกล่าวเพื่อเปลี่ยนหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินจากน.ส.3เป็นน.ส.3ก.เจ้าหน้าที่ที่ดินอำเภอไปรังวัดตรวจสอบเขตที่ดินให้โจทก์จำเลยได้ยื่นคำคัดค้านต่อที่ดินอำเภออ้างว่าที่ดินของโจทก์เป็นของจำเลยดังนี้แม้การยื่นคำคัดค้านดังกล่าวจะเป็นการใช้สิทธิตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา60แต่เนื้อหาในคำคัดค้านที่จำเลยอ้างว่าที่ดินที่โจทก์ขอเปลี่ยนหนังสือรับรองการทำประโยชน์จากน.ส.3เป็นน.ส.3ก.เป็นที่ดินของจำเลยนั้นเป็นการโต้เถียงเรื่องกรรมสิทธิ์หรือสิทธิในที่ดินระหว่างโจทก์จำเลยถือว่ามีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นกับโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา55แล้วโจทก์จึงชอบที่จะเสนอคดีต่อศาลได้ เจ้าหน้าที่บริหารงานที่ดินอำเภอมีหนังสือให้จำเลยซึ่งเป็นผู้คัดค้านการที่โจทก์ขอเปลี่ยนหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินจากน.ส.3เป็นน.ส.3ก.ไปพบพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อสอบสวนเปรียบเทียบและดำเนินการตามระเบียบต่อไปโดยได้ส่งหนังสือให้จำเลยตามที่อยู่ของจำเลยแล้วแต่เมื่อถึงวันนัดจำเลยไม่ได้ไปพบพนักงานเจ้าหน้าที่ตามหนังสือนัดหมายทางพนักงานเจ้าหน้าที่จึงทำการสอบสวนเปรียบเทียบไม่ได้ในกรณีเช่นนี้พนักงานเจ้าหน้าที่ย่อมไม่สามารถจะสั่งการใดๆให้โจทก์จำเลยปฏิบัติได้และตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา60หาได้มีข้อห้ามมิให้โจทก์ฟ้องคดีหากมิได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดไว้ไม่โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องได้เองหากสิทธิของโจทก์ถูกโต้แย้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา55

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2516 โจทก์ซื้อที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 2 หมู่ที่ 5 ตำบลปากคลองอำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร เนื้อที่ 12 ไร่เศษ จากผู้ซื้อและเข้าครอบครองทำประโยชน์ ต่อมาโจทก์ย้ายภูมิลำเนาไปอยู่ที่กรุงเทพมหานครจึงมอบให้ลูกจ้างดูแลรักษาและทำประโยชน์ในที่ดินแทน วันที่ 11 ตุลาคม 2531 โจทก์ยื่นคำขอเปลี่ยนหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินจาก น.ส.3 เป็น น.ส.3 ก. เจ้าพนักงานที่ดินอำเภอปะทิวออกไปรังวัดตรวจสอบเขตที่ดินในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2531 ต่อมาวันที่ 6 กันยายน 2532 จำเลยยื่นคำคัดค้านต่อเจ้าพนักงานที่ดินอ้างว่าที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นของจำเลย เจ้าพนักงานที่ดินอำเภอปะทิวมีหนังสือเรียกจำเลยและโจทก์ไปสอบสวนเปรียบเทียบจำเลยไม่ยอมไป เจ้าพนักงานที่ดินไม่อาจสอบสวนเปรียบเทียบได้การขัดขวางของจำเลยทำให้โจทก์เสียหาย ไม่อาจขอเปลี่ยนหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินจาก น.ส.3 เป็น น.ส.3 ก. ได้ ขอให้พิพากษาว่าที่ดินตามฟ้องเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องและกระทำการใด ๆ อันเป็นการรบกวนสิทธิครอบครองที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะเมื่อจำเลยคัดค้านการรังวัด เจ้าพนักงานที่ดินก็ยังมิได้สอบสวนเปรียบเทียบและมีคำสั่งประการใดตามขั้นตอนของกฎหมาย ทั้งการคัดค้านการรังวัดดังกล่าวถือเป็นสิทธิของจำเลย จำเลยเข้าครอบครองที่ดินพิพาทโดยสุจริตด้วยความสงบและเปิดเผยโดยเจตนายึดถือเพื่อตนตั้งแต่ปี 2527 จนปัจจุบัน จำเลยจึงได้สิทธิครอบครองตามกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามฟ้อง ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องและกระทำการใด ๆอันเป็นการรบกวนสิทธิการครอบครองที่ดินของโจทก์ จำเลยอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเพียงข้อเดียวว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาในปัญหาข้อนี้ว่า การที่จำเลยมีหนังสือคัดค้านโจทก์ในการขอเปลี่ยนหนังสือรับรองการทำประโยชน์จาก น.ส.3 เป็น น.ส.3 ก.เป็นการใช้สิทธิตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 60 และ 69 ทวิ วรรคแรกไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 55 และโจทก์จะมีสิทธิฟ้องคดีต่อเมื่อเจ้าพนักงานที่ดินทำการสอบสวนเปรียบเทียบตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 60 แล้วแต่โจทก์ฟ้องคดีโดยเจ้าพนักงานที่ดินยังไม่มีคำสั่ง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ตามฟ้องโจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์ได้ซื้อที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3)เลขที่ 2 เนื้อที่ 12 ไร่เศษ อยู่ที่หมู่ 5 ตำบลปากคลองอำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร จากผู้มีชื่อ เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม2531 โจทก์ยื่นคำขอต่อเจ้าพนักงานที่ดินอำเภอปะทิวให้รังวัดที่ดินแปลงดังกล่าวเพื่อเปลี่ยนหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินจากน.ส.3 เป็น น.ส.3 ก. เจ้าหน้าที่ที่ดินอำเภอไปรังวัดตรวจสอบเขตที่ดินให้โจทก์ในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2531 จำเลยได้ไปยื่นคำคัดค้านต่อที่ดินอำเภอปะทิว เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2532อ้างว่าที่ดินของโจทก์เป็นของจำเลย ดังนี้ แม้การยื่นคำคัดค้านดังกล่าวจะเป็นการใช้สิทธิตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 60แต่เนื้อหาในคำคัดค้านที่จำเลยอ้างว่าที่ดินที่โจทก์ขอเปลี่ยนหนังสือรับรองการทำประโยชน์จาก น.ส.3 เป็น น.ส.3 ก. เป็นที่ดินของจำเลยนั้น เป็นการโต้เถียงเรื่องกรรมสิทธิ์หรือสิทธิในที่ดินระหว่างโจทก์จำเลยถือว่ามีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นกับโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 แล้ว โจทก์จึงชอบที่จะเสนอคดีต่อศาลชั้นต้นได้ ส่วนในข้อที่จำเลยฎีกาว่าเจ้าพนักงานที่ดินยังไม่ได้เรียกโจทก์จำเลยไปสอบสวนและยังไม่มีคำสั่งเกี่ยวกับคำคัดค้านของจำเลย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนั้นปรากฏตามหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย ล.1 ของจำเลยว่าจำเลยได้ระบุว่า จำเลยอยู่ที่บ้านเลขที่ 44 หมู่ที่ 4 ตำบลปากคลองอำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร แต่เมื่อนายนิเวศน์ สมบัติพิบูลย์พยานโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่บริหารงานที่ดินอำเภอปะทิวมีหนังสือให้จำเลยไปพบพนักงานเจ้าหน้าที่ ณ สำนักงานที่ดินอำเภอปะทิว ในวันที่ 30 สิงหาคม 2533 เวลา 14 นาฬิกาเพื่อสอบสวนเปรียบเทียบและดำเนินการตามระเบียบต่อไป โดยได้ส่งหนังสือให้จำเลยตามที่อยู่ของจำเลยที่ระบุไว้ในหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย ล.1 แล้ว ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.8 แต่เมื่อถึงวันนัดจำเลยไม่ได้ไปพบพนักงานเจ้าหน้าที่ตามหนังสือนัดหมายทางพนักงานเจ้าหน้าที่จึงทำการสอบสวนเปรียบเทียบไม่ได้นายนิเวศน์ได้ทำบันทึกไว้เป็นหลักฐาน ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.10ในกรณีเช่นนี้พนักงานเจ้าหน้าที่ย่อมไม่สามารถจะสั่งการใด ๆให้โจทก์จำเลยปฏิบัติได้ และตามบทบัญญัติ มาตรา 60 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินหาได้มีข้อห้ามมิให้โจทก์ฟ้องคดี หากมิได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดไว้ไม่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องได้เอง หากสิทธิของโจทก์ถูกโต้แย้งตามบทบัญญัติมาตรา 55 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง”
พิพากษายืน

Share