แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 ข้ามเขตแดนไปสั่งซื้อเมทแอมเฟตามีน โดยจำเลยที่ 2 มีส่วนรู้เห็นเป็นอย่างดี ต้องถือว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกระทำความผิดด้วย เมื่อจำเลยทั้งสองถูกเจ้าพนักงานควบคุมตัวไว้ก่อน ทำให้ไม่มีอิสระที่จะไปรับเมทแอมเฟตามีนตามที่นัดหมายกับพวกไว้ได้ โดยจำเลยที่ 2 ไปรับเมทแอมเฟตามีนก็เพราะเจ้าพนักงานสั่งให้ไปรับ ส่วนจำเลยที่ 1 แม้ปฏิเสธไม่ยอมไปรับด้วย แต่เมทแอมเฟตามีนถูกนำเข้ามาในราชอาณาจักรได้เพราะพวกของจำเลยที่ยืนอยู่ในแม่น้ำเหืองฝั่ง ส.ป.ป. ลาว ขว้างข้ามเขตแดนมาให้จำเลยที่ 2 ตามที่โทรศัพท์แจ้งให้จำเลยที่ 2 ทราบไว้ การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการร่วมลงมือกระทำการนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรแล้ว เพียงแต่การกระทำนั้นยังไม่บรรลุผล จำเลยทั้งสองจึงมีความผิดฐานร่วมกันพยายามนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย
เมื่อจำเลยที่ 2 เก็บเมทแอมเฟตามีนที่พวกของจำเลยขว้างข้ามเขตแดนมาก็ส่งให้เจ้าพนักงานทันที ไม่สามารถยึดถือไว้เพื่อตนได้ จำเลยทั้งสองจึงไม่มีความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 65, 66, 97, 100/1, 102 พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 3, 7 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 เพิ่มโทษจำเลยที่ 1 กึ่งหนึ่งตามกฎหมาย ริบเมทแอมเฟตามีน โทรศัพท์เคลื่อนที่ 2 เครื่อง และเศษกระดาษที่บันทึกหมายเลขโทรศัพท์ของพวกจำเลยทั้งสองของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 1 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 65 วรรคสอง, 66 วรรคสาม ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้ประหารชีวิต เมื่อลงโทษประหารชีวิตจำเลยที่ 1 แล้ว จึงไม่อาจเพิ่มโทษจำเลยที่ 1 ตามมาตรา 97 แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ได้อีก คงลงโทษจำเลยที่ 1 ให้ประหารชีวิต จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 (1) คงจำคุกจำเลยที่ 2 ตลอดชีวิต ริบเมทแอมเฟตามีน โทรศัพท์เคลื่อนที่ 2 เครื่อง และเศษกระดาษบันทึกหมายเลขโทรศัพท์ของกลาง ส่วนรถกระบะและกระเป๋าสะพายสีน้ำตาลของกลางให้คืนแก่เจ้าของ คำขออื่นให้ยก
โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดฐานร่วมกันพยายามนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 65 วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80 พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 7 เมื่อลดโทษให้จำเลยที่ 1 หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 (1) แล้ว คงจำคุกจำเลยที่ 1 ตลอดชีวิต ให้ยกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานร่วมกันนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายและฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ยกคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้คืนรถกระบะและกระเป๋าสะพายสีน้ำตาลของกลางแก่เจ้าของ ส่วนโทษของจำเลยที่ 2 และนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยทั้งสองฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2555 เวลาประมาณ 15 นาฬิกา สิบตำรวจเอก สมบูรณ์ เจ้าพนักงานตำรวจประจำสถานีตำรวจภูธรท่าลี่ กับพวกตรวจค้นรถกระบะยี่ห้อโตโยต้าสีขาว หมายเลขทะเบียน บน 292 เลย ซึ่งจำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับและจำเลยที่ 2 นั่งเคียงข้างมาที่บริเวณก่อนถึงจุดตรวจภูซางประมาณ 1 กิโลเมตร ขณะตรวจค้นตัวจำเลยที่ 2 เสียงโทรศัพท์เคลื่อนที่ของจำเลยที่ 2 ดังขึ้น สิบตำรวจเอก สมบูรณ์กดรับโดยเปิดลำโพงได้ยินทั่วกันว่า ให้ไปรับของทางบ้านหาดเจริญ-นาจาน จึงแจ้งให้ร้อยตำรวจโท นิพล ซึ่งรออยู่ที่จุดตรวจภูซางทราบ ร้อยตำรวจโท นิพลสั่งให้คุมตัวจำเลยทั้งสองไปพบที่จุดตรวจทันที และขณะตรวจค้นตัวจำเลยที่ 2 ที่จุดตรวจภูซาง โทรศัพท์เคลื่อนที่ของจำเลยที่ 2 ก็ดังขึ้นอีกครั้ง เมื่อกดรับและเปิดลำโพงให้ได้ยินทั่วกัน คนที่โทรศัพท์มาถามว่าถึงไหนแล้ว จำเลยที่ 2 ตอบว่าอยู่จุดตรวจภูซาง คนที่โทรศัพท์มาบอกให้ขับรถไปเรื่อย ๆ ตามถนนหาดเจริญ-นาจาน จนกระทั่งถึงต้นคูนใหญ่ข้างทาง ฝั่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวจะมีการก่อกองไฟไว้ เมื่อไปถึงจุดนัดพบ มีชายคนหนึ่งยืนอยู่ในแม่น้ำเหืองฝั่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ชายคนนั้นโบกผ้าเป็นสัญญาณแล้วขว้างวัตถุสิ่งหนึ่งมาให้จำเลยที่ 2 ซึ่งขณะนั้นมีสิบตำรวจเอก สมบูรณ์ยืนประกบตัวอยู่โดยจับที่เข็มขัดตรงด้านหลังจำเลยที่ 2 เอาไว้ วัตถุดังกล่าวเป็นห่อพลาสติกข้างในมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 1,976 เม็ด แบ่งบรรจุในถุงพลาสติกชนิดปากถุงกดปิดได้รวม 10 ถุง ในชั้นสอบสวนพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาแก่จำเลยทั้งสองว่า ร่วมกันนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายและร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ จำเลยที่ 1 และที่ 2 ว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติแล้วว่า เมทแอมเฟตามีนของกลางเข้ามาในราชอาณาจักรไทยได้เพราะชายคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ในแม่น้ำเหืองฝั่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเป็นผู้ขว้างข้ามเขตแดนมาให้จำเลยที่ 2 ตามที่ผู้นำเมทแอมเฟตามีนทางฝั่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวมาส่งได้โทรศัพท์แจ้งให้จำเลยที่ 2 ทราบกันไว้ แต่จำเลยทั้งสองถูกเจ้าพนักงานตำรวจควบคุมตัวไว้ก่อนทำให้จำเลยทั้งสองไม่อาจไปรับเมทแอมเฟตามีนตามที่นัดหมายกันได้ การที่จำเลยที่ 2 ไปรับเมทแอมเฟตามีนที่ริมแม่น้ำเหืองก็ไปเพราะเจ้าพนักงานตำรวจควบคุมตัวจำเลยทั้งสองสั่งให้ไปรับ จำเลยทั้งสองมิได้มีอิสระที่จะไปรับเมทแอมเฟตามีนของกลางดังที่วางแผนกันไว้ก่อนกับพวกแต่อย่างใด เมื่อพวกของจำเลยขว้างเมทแอมเฟตามีนของกลางมาให้ จำเลยที่ 2 ก็เก็บส่งให้เจ้าพนักงานตำรวจทันที ไม่สามารถยึดถือเมทแอมเฟตามีนของกลางเอาไว้เพื่อตนได้ ดังนี้จะถือว่าความผิดฐานนำเมทแอมเฟตามีนของกลางเข้ามาในราชอาณาจักรสำเร็จครบองค์ประกอบแล้วดังที่โจทก์ฎีกายังไม่ได้ แต่ก็ต้องถือว่าการกระทำทั้งหมดของจำเลยทั้งสองเป็นการร่วมลงมือกระทำการนำเมทแอมเฟตามีนของกลางเข้ามาในราชอาณาจักรแล้ว เพียงแต่การกระทำนั้นยังไม่บรรลุผล จำเลยทั้งสองจึงมีความผิดฐานพยายามนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายเท่านั้น และไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองได้เข้าครอบครองเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ก่อนที่จะถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุม จำเลยทั้งสองจึงไม่มีความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายด้วยแต่อย่างใด ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า คำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 2 เป็นคำให้การของผู้ต้องหาที่ถูกกล่าวหาว่าร่วมกระทำความผิดด้วยกันกับจำเลยที่ 1 จะนำมาพิสูจน์ว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดไม่ได้นั้น เห็นว่า คำให้การของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวไม่ใช่คำซัดทอดของผู้ร่วมกระทำความผิดด้วยกัน เพราะไม่ได้โยนความผิดให้จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดเพียงลำพัง แล้วอ้างว่าจำเลยที่ 2 ไม่ได้กระทำความผิดด้วย คำให้การดังกล่าวของจำเลยที่ 2 มีเหตุมีผลสามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นความจริงมีลักษณะที่รับฟังแล้วเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง จึงมีน้ำหนักให้รับฟังเพื่อพิสูจน์การกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226 ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 3 แม้จำเลยที่ 1 จะปฏิเสธไม่ยอมไปด้วยในขณะที่มีการขว้างเมทแอมเฟตามีนของกลางข้ามเขตแดนมาให้จำเลยที่ 2 การปฏิเสธดังกล่าวก็หามีน้ำหนักไปหักล้างพยานโจทก์ที่นำสืบพิสูจน์แล้วว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ข้ามเขตแดนไปสั่งซื้อเมทแอมเฟตามีนของกลางจากนางนัดได้ ส่วนที่จำเลยที่ 1 อ้างว่าได้ยับยั้งไม่ไปรอรับเมทแอมเฟตามีน จึงไม่ต้องรับโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 82 นั้น การที่จำเลยที่ 1 ถูกเจ้าพนักงานตำรวจควบคุมตัวไว้เสียก่อน ไม่ใช่การยับยั้งไม่กระทำการให้ตลอดเสียเองตามที่จำเลยที่ 1 อ้าง ที่ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษามา ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 กระทำไปตามคำสั่งของเจ้าพนักงานตำรวจที่ให้ไปรับเมทแอมเฟตามีนของกลางที่ริมแม่น้ำเหือง จำเลยที่ 2 จึงไม่มีความผิดนั้น เห็นว่า เมื่อถูกควบคุมตัวและพวกของจำเลยที่ 2 ทางฝั่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวได้โทรศัพท์มาที่โทรศัพท์เคลื่อนที่ของจำเลยที่ 2 เอง นัดหมายถึงสถานที่ที่ให้ไปรับเมทแอมเฟตามีนของกลางถึงสองครั้ง แสดงว่าจำเลยที่ 2 มีส่วนรู้เห็นในการที่จำเลยที่ 1 ไปสั่งซื้อเมทแอมเฟตามีนที่ฝั่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเป็นอย่างดี จึงต้องถือว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกระทำความผิดด้วย จำเลยที่ 2 เองก็ให้การถึงรายละเอียดในการกระทำความผิดว่าผู้ใดบ้างที่เกี่ยวข้องด้วยและแต่ละคนกระทำการอย่างใดในคดีนี้ การที่จำเลยที่ 2 ทำตามคำสั่งของเจ้าพนักงานตำรวจที่ให้ไปรับของกลางที่ริมแม่น้ำเหืองนั้น ทำให้จำเลยที่ 2 ไม่มีความผิดฐานนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักร แต่การกระทำของจำเลยที่ 2 ก็ยังเป็นความผิดฐานพยายามนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายอยู่ ซึ่งศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยที่ 2 ตามข้อเท็จจริงที่ได้ความนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 3 มิได้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่ยกขึ้นมาใหม่โดยไม่ได้กล่าวมาในคำฟ้องของโจทก์ดังที่จำเลยที่ 2 ฎีกาแต่อย่างใด ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน