คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 693/2502

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

กล่าวฟ้องใจความว่า จำเลยบังคับให้ผู้เสียหายสัญญาว่าจะส่งทรัพย์ให้ มิฉะนั้น จะดำเนินการฟ้องร้องให้ได้รับโทษ เช่นนี้อาจเป็นผิดฐานกรรโชกตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 303 และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 337 หรือไม่ก็ได้ แล้วแต่พฤติการณ์ของรูปคดี ถ้าข้อเท็จจริงเป็นเรื่องจำเลยพูดไกล่เกลี่ยก็ไม่ผิดฐานกรรโชก แต่ถ้าพ้นเขตของการไกล่เกลี่ยโดยเป็นไปในทางบังคับให้เขาสัญญาว่าจะส่งทรัพย์ให้ ถ้าไม่ส่งจะดำเนินคดี เช่นนี้ เป็นการขู่เข็ญขืนใจโดยชัด ย่อมเป็นผิดฐานกรรโชก แม้ว่าจำเลยมีสิทธิตามกฎหมายในการจะฟ้องเรียกเงินจากผู้เสียหายก็ตาม หรือแม้ว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่จับกุมฟ้องร้องดำเนินคดี และจำเลยบังคับผู้เสียหายเช่นกล่าวข้างต้นจนพ้นเขตของการไกล่เกลี่ย และการที่ผู้เสียหายต้องสัญญาว่าจะส่งทรัพย์ก็เพื่อมิให้ถูกดำเนินคดีฟ้องร้อง เพราะถูกขู่เข็ญขืนใจก็เป็นผิดฐานกรรโชกด้วย

ย่อยาว

คดี 2 สำนวนนี้ รวมพิจารณา โจทก์ฟ้องว่า จำเลยสมคบกันขู่จะฟ้องนายสาย เรืองลือ ให้ต้องรับโทษในข้อหาว่าฉีดยา นางน้อยภริยานายเสาร์ตาย บังคับให้นายสาย เรืองลือ สัญญาว่าจะส่งทรัพย์ให้มิฉะนั้นจะดำเนินการฟ้องร้องให้ได้รับโทษ นายสายได้มอบเงิน 600 บาท ให้จำเลยกับพวกตามที่รับสัญญาไว้ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2499 ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 303,63 และขอให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 600 บาท แก่ผู้เสียหาย

จำเลยทุกคนปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า นายสายกับนายเสาร์จำเลยตกลงกันชดใช้ค่าเสียหายในการทำศพนางน้อยที่ได้ตายหลังจากนายสายฉีดยา มิใช่เป็นการขู่เข็ญบังคับนายเสาร์จำเลยยังไม่มีความผิดส่วนจำเลยอีก 5 คน ได้ช่วยพูดจาให้นายสายใช้เงินแก่นายเสาร์เป็นการพูดในทางที่จะให้ตกลงประนีประนอมกัน จึงยังไม่มีความผิดด้วยพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลอุทธรณ์ยกกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 303 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 337 ขึ้นวินิจฉัยแล้วเห็นว่า การที่โจทก์ฟ้องว่า จำเลยสมคบกันขู่จะฟ้องนายสายให้ต้องรับโทษในข้อหาว่าฉีดยานางน้อยภริยานายเสาร์ตายนั้น ไม่เป็นความผิดฐานกรรโชกตามฟ้อง ส่วนเงิน 600 บาท ที่โจทก์ขอให้จำเลยให้แก่นายสายนั้น หากนายสายมีสิทธิจะได้คืนก็ควรเรียกเอาอีกเรื่องหนึ่ง จึงพิพากษายืน

โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า ความผิดฐานกรรโชกตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 303 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 337 ไม่จำเป็นต้องใช้กำลังบังคับเสมอไป อาจใช้อุบายอย่างใดที่ผู้ถูกบังคับข่มขืนใจเกิดความกลัวยอมสัญญาจะส่งทรัพย์ให้ก็เป็นความผิด และกรณีของจำเลยกับพวกก็ครบองค์ความผิดฐานกรรโชกแล้ว

ปัญหามีว่า ถ้าข้อเท็จจริงฟังได้ตามฟ้องว่า จำเลยบังคับให้นายสายสัญญาว่าจะส่งทรัพย์ให้ มิฉะนั้น จะดำเนินการฟ้องร้องให้ได้รับโทษ เช่นนี้ จะเป็นความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 303 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 337 หรือไม่

ศาลฎีกาเห็นว่า ตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 303 ที่บัญญัติไว้ว่า “ถ้าและกันบังอาจบังคับผู้อื่นโดยมันใช้กำลังข่มขืนหรือขู่เข็ญขืนใจให้เข้าสัญญาว่าจะส่งทรัพย์อย่างใด ๆ ให้แก่ผู้ใดก็ดี ฯลฯ” และตามข้อความในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 337 ก็ดี แสดงให้เห็นว่าการบังคับให้เขาสัญญาว่าจะส่งทรัพย์ให้ ถ้าไม่ส่งจะดำเนินคดีฟ้องร้องให้ได้รับโทษ อาจเป็นผิดตามตัวบทกฎหมายทั้งสองนี้หรือไม่แล้วแต่พฤติการณ์ของรูปคดี ถ้าจำเลยเป็นเจ้าพนักงานเป็นแต่พูดไกล่เกลี่ย ก็ไม่ผิดฐานกรรโชก แต่ถ้าพ้นเขตของการไกล่เกลี่ยโดยเป็นไปในทางบังคับให้เขาสัญญาว่าจะส่งทรัพย์ให้ ถ้าไม่ส่งจะดำเนินคดี เช่นนี้ เป็นการเข็ญขืนใจโดยชัด ย่อมเป็นผิดฐานกรรโชกจำเลยคนซึ่งเป็นสามีมีสิทธิตามกฎหมายในการจะฟ้องร้องผู้เสียหายจึงต้องพิจารณาเป็นพิเศษ ส่วนจำเลยอื่น ๆ ก็ต้องดูว่าอยู่ในฐานะเพียงผู้ไกล่เกลี่ยหรือถึงขีดกรรโชก

แต่คดีนี้ ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยข้อเท็จจริง จึงสมควรให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเสียใหม่

พิพากษาย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาวินิจฉัยในข้อเท็จจริงแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share