คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1513/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91(3) เป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับการลงโทษจำเลยในกรณีที่จำเลยกระทำผิดหลายกรรมและถูกฟ้องเป็นคดีเดียวกัน หรือในกรณีที่จำเลยถูกฟ้องหลายคดีและเป็นคดีที่เกี่ยวพันกันจนศาลได้มีคำสั่งรวมการพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกันคดีที่เกี่ยวพันกันซึ่งโจทก์ควรจะฟ้องจำเลยเป็นคดีเดียวกันหรือควรจะมีการรวมการพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกัน แต่โจทก์กลับแยกฟ้องเป็นหลายคดีและไม่มีการรวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกัน กรณีจึงจะอยู่ภายใต้บังคับ มาตรา 91(3) คดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 รวม8 คดี และฟ้องจำเลยที่ 2 รวม 9 คดีนั้นแต่ละคดีมีวันเวลาสถานที่เกิดเหตุและผู้เสียหายต่างกัน เป็นคดีไม่เกี่ยวพันกันไม่อาจฟ้องเป็นคดีเดียวกันหรือรวมการพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกันได้ จึงนับโทษจำคุกจำเลยทั้งสองติดต่อกันเกิน 50 ปีได้ ไม่อยู่ในบังคับ มาตรา 91(3)

ย่อยาว

กรณีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2คนละ 13 ปี 4 เดือน และให้นับโทษจำเลยทั้งสองต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 5936/2532, 2331/2532, 2139/2532, 5738/2532,4437/2532 และ 9250/2531 ของศาลชั้นต้น คดีถึงที่สุด ต่อมาจำเลยที่ 1 และที่ 2 ยื่นคำร้องว่าจำเลยทั้งสองถูกฟ้องและถูกศาลพิพากษาลงโทษจำคุกในคดีต่าง ๆ รวมทั้งคดีนี้ด้วย เมื่อปัจจุบันประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ซึ่งเป็นกฎหมายที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำผิดให้จำคุกได้ไม่เกิน 50 ปี ดังนั้นจึงต้องนับโทษจำคุกจำเลยทั้งสองติดต่อกัน สำหรับคดีต่าง ๆ ได้ไม่เกินคนละ 50 ปี จึงขอให้ปรับโทษตามกฎหมายดังกล่าว
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงได้ความเป็นยุติว่า จำเลยทั้งสองถูกฟ้องและศาลพิพากษาลงโทษจำคุกในคดีต่าง ๆ รวมทั้งคดีนี้ด้วยหลายคดี และคดีถึงที่สุด โดยเป็นส่วนของจำเลยที่ 1 รวม 8 คดีจำคุก 107 ปี 4 เดือน เป็นส่วนของจำเลยที่ 2 รวม 9 คดี จำคุก127 ปี 4 เดือน ปรากฏรายละเอียดตามคำร้องของจำเลยทั้งสองฉบับลงวันที่ 4 กันยายน 2535 ปัญหาขึ้นมาสู่การพิจารณาตามที่จำเลยทั้งสองฎีกามีว่า จะนับโทษจำคุกจำเลยที่ 1 รวม 8 คดี และจำเลยที่ 2 รวม 9 คดีติดต่อกันเกิน 50 ปีได้หรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91(3) ที่แก้ไขใหม่ ที่บัญญัติให้ศาลลงโทษผู้กระทำผิดทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป แต่กรณีความผิดกระทงที่หนักที่สุดมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกิน 10 ปีขึ้นไป เว้นแต่กรณีที่ศาลลงโทษจำคุกตลอดชีวิตโทษจำคุกทั้งสิ้นรวมกันแล้วต้องไม่เกิน 50 ปี นั้น เป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับการลงโทษจำเลยในกรณีที่จำเลยกระทำผิดหลายกรรมและถูกฟ้องเป็นคดีเดียวกัน หรือในกรณีที่จำเลยถูกฟ้องหลายคดีและเป็นคดีที่เกี่ยวพันกันจนศาลได้มีคำสั่งให้รวมการพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกัน คดีที่เกี่ยวพันกันซึ่งโจทก์ควรจะฟ้องจำเลยเป็นคดีเดียวกัน หรือควรจะมีการรวมการพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกัน แต่โจทก์กลับแยกฟ้องเป็นหลายคดีและไม่มีการรวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกัน กรณีจึงจะอยู่ภายใต้บังคับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91(3) ตามที่จำเลยทั้งสองกล่าวอ้างในฎีกาแต่ตามฎีกาของจำเลยทั้งสองได้ความว่าคดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 รวม 8 คดี และฟ้องจำเลยที่ 2 รวม 9 คดีนั้น แต่ละคดีมีวันเวลาสถานที่เกิดเหตุและผู้เสียหายต่างกัน จึงเป็นคดีที่ไม่เกี่ยวพันกันไม่อาจฟ้องเป็นคดีเดียวกันหรือรวมการพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกันได้จึงนับโทษจำคุกจำเลยทั้งสองติดต่อกันเกินกว่า 50 ปีได้คดีไม่อยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91(3) ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share