แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้คำให้การรับสารภาพชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจะเป็นพยานบอกเล่าแต่พยานบอกเล่าก็หาได้ต้องห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐานเสียทีเดียวไม่ ศาลชอบที่จะนำพยานบอกเล่าไปรับฟังประกอบกับพยานหลักฐานอื่นของโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองได้ ในทำนองเดียวกันคำซัดทอดของผู้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันก็หาใช่จะต้องห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐานลงโทษจำเลยเสียทีเดียวก็หาไม่ และไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การซัดทอดจำเลยที่ 3 และที่ 4 เพื่อให้ตนเองพ้นผิดหรือได้รับประโยชน์จากการซัดทอดนั้นแต่อย่างใดศาลล่างทั้งสองจึงชอบที่จะนำคำซัดทอดของจำเลยที่ 1 และที่ 2ไปฟังประกอบพยานแวดล้อมและพยานหลักฐานอื่นของโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองได้เช่นเดียวกัน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289, 83, 84, 91, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินฉบับที่ 44 ข้อ 3, 6, 7
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นายบุญยืน คงเขียว และนางทองดี คงเขียวผู้เสียหายทั้งสอง ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4), 80, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 วรรคแรก, 8 ทวิ วรรคแรก, 72 ทวิ วรรคแรกจำเลยที่ 3 และที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4)ประกอบด้วยมาตรา 84 เรียงกระทงลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานพยายามฆ่าผู้อื่น จำคุกตลอดชีวิตฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุกคนละ2 ปี ฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุกคนละ 3 ปีและลงโทษจำคุกจำเลยที่ 3 และที่ 4 ตลอดชีวิตจำเลยทั้งสี่ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 ประกอบด้วย มาตรา 53 จำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน คนละ 33 ปี 4 เดือน ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตคนละ 1 ปี 4เดือนฐานพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะคนละ 2 ปี รวมลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1และที่ 2 คนละ 36 ปี 8 เดือน จำคุกจำเลยที่ 3 และที่ 4 คนละ33 ปี 4 เดือน รถยนต์ของกลางไม่ได้ใช้กระทำความผิดไม่ริบ ส่วนของกลางอื่นให้ริบ
จำเลยที่ 3 และที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 3 และที่ 4 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ 4 ฎีกาว่าคำรับสารภาพของจำเลยที่ 4 ในชั้นจับกุมก็ดี ชั้นสอบสวนก็ดี รวมทั้งคำซัดทอดของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่อพันตำรวจโทพงษ์พัฒน์เป็นเพียงพยานบอกเล่าและเป็นคำซัดทอดของผู้ร่วมกระทำผิดด้วยกันนำมาเป็นพยานหลักฐานลงโทษจำเลยที่ 4 ไม่ได้นั้น เห็นว่าแม้คำให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจะเป็นพยานบอกเล่าดังที่จำเลยที่ 4 กล่าวอ้างก็ตาม แต่พยานบอกเล่าก็หาได้ต้องห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐานเสียทีเดียวไม่ กล่าวคือศาลชอบที่จะนำพยานบอกเล่าไปรับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองได้สำหรับคดีนี้ศาลล่างทั้งสองได้นำคำรับสารภาพทั้งในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 4 ไปฟังประกอบกับพยานแวดล้อมและพยานหลักฐานอื่นของโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสอง จึงไม่ต้องห้ามมิให้รับฟัง ในทำนองเดียวกันคำซัดทอดของผู้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันก็ใช่จะต้องห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐานลงโทษจำเลยเสียทีเดียวก็หาไม่ และไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การซัดทอดจำเลยที่ 3และที่ 4 เพื่อให้ตนเองพ้นผิดหรือได้รับประโยชน์จากการซัดทอดนั้นแต่อย่างใด ศาลล่างทั้งสองจึงชอบที่จะนำคำซัดทอดของจำเลยที่ 1และที่ 2 ไปฟังประกอบพยานแวดล้อมและพยานหลักฐานอื่นของโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองได้เช่นเดียวกัน
พิพากษายืน