คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 852/2532

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยสั่งจ่ายเช็คให้โจทก์เพื่อชำระหนี้การพนันสลากกินรวบดังนี้ เป็นหนี้ที่ไม่สมบูรณ์ โจทก์ฟ้องบังคับไม่ได้.(ที่มา-ส่งเสริม)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องจำเลยเรียกเงินตามเช็ค 2 ฉบับเป็นเงิน 20,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ได้เป็นผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมายเพราะเช็คพิพาทมีมูลหนี้มาจากการเล่นการพนันสลากกินรวบขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 20,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 10,000 บาท นับแต่วันที่ 5กันยายน 2526 และของต้นเงิน 10,000 บาท นับแต่วันที่ 20 กันยายน2526 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมโดยกำหนดค่าทนายความ 800 บาท แทนโจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า จำเลยได้สั่งจ่ายเช็คพิพาททั้งสองฉบับให้โจทก์ และเมื่อเช็คถึงกำหนด โจทก์ได้นำเช็คพิพาทเข้าบัญชีธนาคารของโจทก์เพื่อเรียกเก็บ แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน มีปัญหาในชั้นนี้ว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาททั้งสองฉบับให้โจทก์เพื่อชำระหนี้อันเกิดจากการเล่นพนันสลากกินรวบหรือไม่ ข้อนี้จำเลยมีตัวจำเลยเบิกความว่า จำเลยรู้จักกับโจทก์มาหลายปีแล้ว โจทก์เป็นเจ้ามือสลากกินรวบ จำเลยเป็นลูกค้า ตกลงซื้อสลากกินรวบกับโจทก์ โดยจะคิดบัญชีกันเมื่อรู้ผลการออกสลากกินรวบแล้ว หากซื้อถูกโจทก์จะหักค่าซื้อสลากกินรวบออกแล้วชำระเงินแก่จำเลย หากซื้อไม่ถูก จำเลยจะจ่ายเช็คชำระค่าซื้อสลากกินรวบให้โจทก์โดยลงวันที่ล่วงหน้า เมื่อวันที่ 1เมษายน 2526 โจทก์จำเลยเคยคิดบัญชีกัน ปรากฎว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์รวม 59,300 บาท จำเลยได้สั่งจ่ายเช็คลงวันที่ 18 เมษายน2526 ให้โจทก์ เมื่อเช็คถึงกำหนด ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินจำเลยได้ชำระเงินสดบางส่วน และสั่งจ่ายเช็คให้ใหม่ รวม 3 ฉบับธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินอีก จึงคิดบัญชีกันใหม่ โดยนำจำนวนเงินตามเช็คทั้งสามฉบับที่ธนาคารปฏิเสธมารวมด้วย แล้วจำเลยสั่งจ่ายเช็คให้โจทก์ใหม่ 5 ฉบับ มีเช็คพิพาทสองฉบับรวมอยู่ด้วย โดยจำเลยส่งอ้างภาพถ่ายเช็คฉบับลงวันที่ 18 เมษายน 2526เอกสารหมาย ล.3 และเช็ค 3 ฉบับ เอกสารหมาย ล.2, ล.5, ล.6 ซึ่งจำเลยออกแทนเช็คฉบับแรกและโพยสลากกินรวบ เอกสารหมาย ล.7 เป็นพยานด้วยนอกจากนี้จำเลยยังมีนางจู แซ่คู เบิกความว่า ได้ฝากจำเลยซื้อสลากกินรวบเมื่อปรากฎว่าซื้อถูกจำเลยได้พาไปรับเงินจากโจทก์ที่บ้านโจทก์และนายบรรเทิง ดิลกสกุลชัย เบิกความว่าทราบว่าตอนแรกโจทก์มีอาชีพทำโรงหนังแต่ต่อมาได้เปลี่ยนอาชีพเป็นเจ้ามือรับแทงสลากกินรวบ จำเลยรับแทงสลากกินรวบแล้วไปแทงกับโจทก์ต่อ นอกจากนี้มีพันตำรวจโทอุดม ระวิวงศ์ เบิกความว่า พยานเป็นสารวัตรใหญ่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี พยานทราบว่าโจทก์เป็นเจ้ามือสลากกินรวบ และเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2526 พยานได้ตรวจค้นบ้านเรือนโจทก์พบหลักฐานการเล่นสลากกินรวบ ได้จับกุมโจทก์ฐานเป็นเจ้ามือสลากกินรวบดำเนินคดีเมื่อโจทก์ถูกฟ้อง โจทก์รับสารภาพ ส่วนโจทก์มีเพียงตัวโจทก์เบิกความว่า จำเลยออกเช็คสองฉบับที่พิพาทเพื่อแลกเงินสดจากโจทก์ไปทำธุรกิจ เช็คตามภาพถ่ายที่จำเลยส่งอ้างก็เป็นเช็คจำเลยนำมาแลกเงินสดจากโจทก์ไปเช่นกัน ส่วนโพยสลากกินรวบเอกสารหมาย ล.7 มีลายมือชื่อที่มิใช่ลายมือโจทก์ เป็นลายมือนายสงวนคนทำบัญชีร้านของโจทก์ และที่เกี่ยวกับเรื่องที่ถูกจับดำเนินคดีฐานเป็นเจ้ามือสลากกินรวบเป็นเรื่องที่เจ้าพนักงานจับนายสงวนกับโจทก์ โจทก์เป็นเจ้าของบ้านจึงรับสารภาพเพื่อไม่ต้องเสียเวลาสู้คดี ล้วนแต่เป็นการเบิกความลอยๆ ไม่น่าเชื่อ ทั้งที่รับว่าคนในร้านของโจทก์ลงชื่อในโพยสลากกินรวบเอกสารหมาย ล.7 ก็เจือสมพยานจำเลย พยานหลักฐานจำเลยมีทั้งพยานบุคคลและเอกสารสอดคล้องต้องกันมีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานโจทก์ คดีฟังได้ว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาททั้งสองฉบับให้โจทก์เพื่อชำระหนี้การเล่นพนันสลากกินรวบตามที่จำเลยนำสืบ เป็นหนี้ที่ไม่สมบูรณ์ ฟ้องบังคับไม่ได้…’
พิพากษายืน.

Share