แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จำเลยเอาความเท็จมากล่าวอ้างกับหญิงมีชื่อว่าตนเป็นตำรวจจะพาหญิงมีชื่อไปส่งบ้านเพราะเป็นผู้หญิงจะไปคนเดียวในเวลาดึกเช่นนั้นไม่ได้แล้วจำเลยพาหญิงมีชื่อเดินไปถึงสวนลุมพินีและพาเข้าไปในสวนลุมพินีและให้นั่งลงบนสนามหญ้าและพูดจาชักชวนให้หญิงมีชื่อไปบ้านจำเลยแต่หญิงมีชื่อไม่ยอมไปแล้วจำเลยก็รั้งตัวหญิงมีชื่อมากอดจูบหญิงมีชื่อดิ้นเช่นนี้วินิจฉัยว่าเป็นการใช้อุบายทุจริตล่อลวงพาหญิงมีชื่อไปเพื่อการอนาจาร การกระทำเป็นความผิดต้องด้วยบท กฎหมายอาญา มาตรา 276 แล้ว
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าเมื่อเวลากลางคืนระหว่างวันที่ 17-18 มิถุนายน 2498จำเลยทั้งสองสมคบกันพูดจาอวดอ้างแสดงตนแก่นางจำเนียร กลิ่นประทุม และนางสังวาลย์ กลิ่นประทุม ว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจและใช้วาจาขู่เข็ญใช้อุบายทุจริตล่อลวงจับตัวนางจำเนียรไปเพื่อการอนาจารแล้วจำเลยพานางจำเนียรไปหน่วงเหนี่ยวกักขังไว้ในสวนลุมพินีและจำเลยที่ 1 ใช้อำนาจด้วยกำลังกายดึงและกอดจูบและทำอนาจารแก่นางจำเนียร เหตุเกิดที่ ต.สีลม อ.บางรักและ ต.ลุมพินี อ.ปทุมวัน จ.พระนคร อนึ่งจำเลยทั้งสองเคยรับโทษจำคุกตามคำพิพากษาของศาลอันมิใช่ความผิดฐานประมาทหรือลหุโทษมากว่า 2 ครั้งแล้วขอให้ลงโทษตาม กฎหมายอาญา มาตรา 127, 276, 268, 270, 246, 71, 72, 63 และพระราชบัญญัติกักกันผู้มีสันดานเป็นผู้ร้าย พ.ศ. 2479มาตรา 4, 6, 8, 9
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธแต่รับว่าเคยต้องโทษมาจริง
ศาลอาญาพิจารณาแล้วฟังข้อเท็จจริงว่าคืนโจทก์หาเวลาประมาณ 22.00 น. ขณะที่นางสังวาลย์จะส่งนางจำเนียรน้องสาวให้ขึ้นรถโดยสารที่ถนนคอนแวนต์เพื่อกลับไปบ้านที่ตลาดเจริญผลจำเลยทั้งสองเข้ามาหาและจำเลยที่ 1 เอาความเท็จมาหลอกลวงว่าตนเป็นตำรวจจะพานางจำเนียรไปส่งเพราะเป็นผู้หญิงจะไปคนเดียวในเวลาดึกเช่นนั้นไม่ได้ แล้วจำเลยทั้งสองพานางจำเนียรเดินไปถึงสวนลุมพินีและพาเข้าไปในสวนลุมพินีแล้วให้นั่งลงบนสนามหญ้า จำเลยที่ 1 พูดจาชักชวนให้นางจำเนียรไปบ้านจำเลยที่ตำบลมหานาค นางจำเนียรไม่ยอมไป จำเลยที่ 1 จึงดึงรั้งตัวนางจำเนียรเข้ามากอดจูบ นางจำเนียรดิ้นไม่ยอมให้จำเลยทำ พอดี ส.ต.ต.รส สกดรอยมาประสพเหตุการณ์ก็จับจำเลยทั้งสองไป ศาลอาญาจึงพิพากษาว่านายสนธิ์จำเลยที่ 1 มีความผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 127, 246 ให้รวมกระทงลงโทษจำคุก 1 ปี เพิ่มตาม มาตรา 72 และลดรับสารภาพ 1 ใน 3 เป็นอันกลบลบกันไปและให้เพิ่มโทษกักกันจำเลยที่ 1 ตาม พระราชบัญญัติกักกันผู้มีสันดานเป็นผู้ร้าย พ.ศ. 2479 มาตรา 4, 6, 8, 9 มีกำหนด 3 ปี ส่วนนายตี๋จำเลยที่ 2 ให้ยกฟ้อง ปล่อยตัวไป
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ตาม มาตรา 276 ด้วยและขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานสมคบกับจำเลยที่ 1 ด้วย
แต่จำเลยที่ 2 หลบหนีส่งสำเนาอุทธรณ์ให้ไม่ได้ ศาลอุทธรณ์ให้จำหน่ายคดีเฉพาะตัวจำเลยที่ 2 เสียชั่วคราวก่อน
ส่วนคดีเฉพาะตัวจำเลยที่ 1 ศาลอุทธรณ์เห็นว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 276 ด้วย แต่เห็นว่าโทษที่ศาลอาญาลงไว้พอแก่ความผิดของจำเลยที่ 1 แล้ว จึงพิพากษาแก้เฉพาะว่าให้วางบทมาตรา 276 กฎหมายอาญา ลงโทษจำเลยที่ 1 ด้วยนอกจากนี้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอาญา
นายสนธิ์ โตประวัติ จำเลยที่ 1 ฎีกาขึ้นมาข้อเดียวว่าความผิดของจำเลยไม่ต้องด้วยบทมาตรา 276 กฎหมายอาญา
ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนและประชุมปรึกษาคดีนี้แล้วข้อเท็จจริงเป็นอันฟังได้ดังที่ศาลอาญาวินิจฉัยมา และโดยเฉพาะปัญหาที่จำเลยที่ 1 ฎีกาขึ้นมานี้ ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยได้ใช้อุบายทุจริตล่อลวงพานางจำเนียรไปเพื่อการอนาจารการกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดตามความที่บัญญัติไว้ใน กฎหมายอาญา มาตรา 276 ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
ศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกฎีกาจำเลยเสีย