คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 692/2546

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องจำเลยโดยอาศัยสัญญากู้ยืมเงิน จำเลยให้การว่ากู้เงินจากโจทก์จริงแต่รับเงินไม่ถึงจำนวนที่ระบุไว้ในสัญญา จึงเป็นการกล่าวอ้างว่าสัญญาบางส่วนไม่สมบูรณ์ ศาลจำต้องใช้สัญญากู้ยืมเงินมาเป็นพยานหลักฐานในคดี การรับฟังพยานเอกสารดังกล่าวโจทก์ต้องปิดอากรแสตมป์บนสัญญากู้ยืมเงินให้ถูกต้องบริบูรณ์ตามประมวลรัษฎากรฯ มาตรา 118 เมื่อสัญญากู้ยืมเงินปิดอากรแสตมป์เพียง20 บาท ซึ่งตามบัญชีอากรแสตมป์ท้ายประมวลรัษฎากรฯ ต้องปิดอากรแสตมป์จำนวน30 บาท สัญญากู้ยืมเงินจึงปิดอากรแสตมป์ไม่บริบูรณ์ใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้ เมื่อโจทก์ไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ จึงฟ้องร้องให้บังคับจำเลยไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินตามสัญญากู้จำนวน 136,610.96บาท แก่โจทก์ทั้งสองพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 60,000 บาทนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยให้การว่า จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ที่ 2 จำนวน 10,000 บาท แต่โจทก์ที่ 2ให้ระบุในสัญญากู้ยืมกว่า 60,000 บาท จำเลยชำระหนี้ให้โจทก์ที่ 2 ครบถ้วนแล้ว เมื่อเดือนพฤษภาคม 2534 ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษากลับให้จำเลยชำระเงิน 60,000 บาท แก่โจทก์ทั้งสอง พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 4 มกราคม 2533 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า จำเลยได้ทำสัญญากู้ยืมเงินตามเอกสารหมาย จ.1 ให้แก่โจทก์ทั้งสองไว้ ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในประการแรกว่า จำเลยได้กู้ยืมเงินโจทก์ทั้งสองไปจำนวน 60,000 บาท หรือไม่เห็นว่า ในเรื่องการกู้ยืมเงิน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคหนึ่งบัญญัติว่า “การกู้ยืมเงินกว่าห้าสิบบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่” ในคดีนี้โจทก์ทั้งสองฟ้องจำเลยโดยอาศัยสัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมาย จ.1เมื่อจำเลยให้การว่า จำเลยได้ทำสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งสองไว้จริง แต่ปฏิเสธว่าได้รับเงินจากโจทก์ทั้งสองเพียง 10,000 บาท จึงเป็นการกล่าวอ้างว่าหนี้ตามสัญญาบางส่วนไม่สมบูรณ์เนื่องจากโจทก์ทั้งสองจะนำเงินจำนวนที่เกินมาไปใช้เป็นค่าใช้จ่ายและค่าทนายความในกรณีที่มีการผิดสัญญาจนต้องฟ้องร้องดำเนินคดีในชั้นศาล ศาลจึงจำเป็นต้องใช้สัญญากู้ยืมเงินมาเป็นพยานหลักฐานในคดี การจะรับฟังพยานเอกสารสนับสนุนข้ออ้าง โจทก์ทั้งสองจะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 คือต้องปิดอากรแสตมป์บนสัญญากู้ยืมเงินให้บริบูรณ์เสียก่อน มิฉะนั้นจะใช้เอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้ เมื่อสัญญากู้ยืมเงินปิดอากรแสตมป์เพียง 20 บาท ซึ่งตามบัญชีอัตราอากรแสตมป์ท้ายประมวลรัษฎากรต้องปิดอากรแสตมป์จำนวน 30 บาท ถือว่าสัญญากู้ยืมเงินปิดอากรแสตมป์ไม่บริบูรณ์ จึงใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้ตามประมวลรัษฎากรมาตรา 118 ถือว่าโจทก์ทั้งสองไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ โจทก์ทั้งสองจึงฟ้องร้องให้บังคับจำเลยไม่ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษามานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาจำเลยฟังขึ้น”

พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

Share