แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การพิจารณาว่าจำเลยที่ 1 กับพวกมีเจตนาฆ่าผู้ตายกับผู้เสียหายหรือไม่นั้น ต้องพิจารณาถึงการกระทำของจำเลยที่ 1กับพวกประกอบกับบาดแผลที่ผู้ตายกับผู้เสียหายได้รับ ผู้ตายถึงแก่ความตายเนื่องจากสมองถูกทำลายอย่างรุนแรง มีบาดแผลฉีกขาดที่หนังศีรษะด้านซ้ายและที่กรามซ้าย หน้าผากด้านขวาบวมช้ำมีเลือดออกจากจมูกและหูทั้งสองข้างบาดแผลฉีกขาดและถลอกที่แขนซ้ายและเท้าขวา สมองช้ำอย่างรุนแรง การที่จำเลยที่ 2ใช้ขวดเบียร์ตีกลางศีรษะผู้ตายจนผู้ตายฟุบคว่ำหน้าทันที ย่อมแสดงให้เห็นได้ว่าจำเลยที่ 2 ใช้ขวดเบียร์ตีกลางศีรษะผู้ตายอย่างแรงและย่อมจะเล็งเห็นผลได้ว่าการกระทำเช่นนั้นจะทำให้สมองซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญถูกทำลายและทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตายได้การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาส่วนจำเลยที่ 1 ไม่ปรากฏว่ามีสาเหตุรุนแรงที่จะต้องฆ่าผู้ตายแม้ว่าผู้ตายมีบาดแผลฉีกขาดหลังศีรษะด้านซ้ายก็ไม่ได้ความชัดเจนว่าเป็นบาดแผลที่เกิดจากจำเลยที่ 1 ทำร้าย ซึ่งอาจเป็นบาดแผลที่เกิดจากการกระทำของจำเลยที่ 2 ก็ได้ จำเลยที่ 1มิได้มีเจตนาร่วมในการกระทำส่วนนี้ด้วย คงมีเจตนาเพียงร่วมทำร้ายร่างกายผู้ตายเมื่อการร่วมทำร้ายเป็นผลให้ผู้ตายถึงแก่ความตายจึงมีความผิดฐานร่วมกันทำร้ายผู้อื่นเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย
ผู้เสียหายถูกจำเลยที่ 1 กับพวกใช้โซ่เหล็กฟาดหลายครั้งใช้ขวดเบียร์ตีศีรษะและใช้กำลังประทุษร้าย เมื่อพิจารณาจากลักษณะของบาดแผลประกอบความเห็นของแพทย์ผู้ตรวจร่างกายว่ารักษาภายใน 7 วัน ถ้าไม่มีโรคแทรกซ้อนแสดงว่าบาดแผลของผู้เสียหายไม่ร้ายแรงจนถึงกับเป็นอันตรายแก่ชีวิตได้ การกระทำของจำเลยที่ 1กับพวกต่อผู้เสียหายจึงเป็นการร่วมกันทำร้ายผู้อื่นให้เกิดอันตรายแก่กายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ประกอบด้วยมาตรา 83
ย่อยาว
คดีนี้เดิมศาลชั้นต้นสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกันกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3519/2541 ของศาลชั้นต้น โดยเรียกจำเลยในสำนวนนี้ว่าจำเลยที่ 1 และเรียกนายไพบูลย์หรือตั้มจันทร์จำปา จำเลยในสำนวนดังกล่าวว่าจำเลยที่ 2 แต่คดีสำหรับจำเลยที่ 2 ยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 คงขึ้นมาสู่ศาลฎีกาเฉพาะคดีนี้
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 กับพวกอีก 3 คน ที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องทำผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน คือ จำเลยที่ 1 ที่ 2กับพวกอีก 3 คน โดยเจตนาฆ่าและไตร่ตรองไว้ก่อนได้ร่วมกันใช้กำลังกายประทุษร้ายด้วยการเตะ ใช้โซ่เหล็ก และขวดเบียร์เป็นอาวุธตีทำร้ายร่างกายนายจตุรงค์ ยศอักษรหลายครั้ง ถูกบริเวณศีรษะ กรามซ้ายหน้าผากและแขนข้างซ้าย เป็นเหตุให้นายจตุรงค์ถึงแก่ความตายและจำเลยที่ 1 ที่ 2 กับพวกอีก 3 คน ร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายด้วยการเตะ ใช้โซ่เหล็กเป็นอาวุธทำร้ายร่างกายนายนพดลแดงพรหม ผู้เสียหายหลายครั้งถูกบริเวณศีรษะ หางคิ้วขวาชายโครงซ้ายได้รับบาดเจ็บมีเลือดไหล จำเลยที่ 1 ที่ 2 กับพวกลงมือกระทำความผิดไปตลอดแล้ว แต่การกระทำไม่บรรลุผลเนื่องจากมีผู้นำส่งโรงพยาบาลและแพทย์ทำการรักษาไว้ทันเป็นเหตุให้นายนพดลไม่ถึงแก่ความตายเพียงแต่ได้รับอันตรายแก่กายเหตุเกิดที่ตำบลสะเตง อำเภอเมืองยะลา จังหวัดยะลา เจ้าพนักงานตำรวจยึดโซ่เหล็กรถจักรยานยนต์ จำนวน 1 เส้น พร้อมสเตอร์หน้าในบริเวณใกล้เคียงที่เกิดเหตุเป็นของกลางขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83, 288, 289, 91 และริบของกลาง
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 290 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยมาตรา 83 การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91ฐานทำร้ายผู้อื่นเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายให้จำคุกคนละ 12 ปีฐานทำร้ายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย ให้จำคุกคนละ 1 ปีรวมจำคุกจำเลยทั้งสองมีกำหนดคนละ 13 ปี จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดี มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 8 ปี 8 เดือน ริบของกลาง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2มีความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นและฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83, 288 เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2กระทงแรกจำคุกคนละ 20 ปี กระทงหลังจำคุกคนละ 15 ปีรวมจำคุกคนละ 35 ปี จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 23 ปี 4 เดือน ข้อหาอื่นยกนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยที่ 1ว่า จำเลยที่ 1 ไม่มีเจตนาฆ่าผู้ตายและผู้เสียหายมาก่อน แต่มีเจตนาทำร้ายผู้ตายและผู้เสียหายเท่านั้น จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายและทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายนั้น เห็นว่า การพิจารณาว่าจำเลยที่ 1 กับพวกมีเจตนาฆ่าผู้ตายกับผู้เสียหายหรือไม่นั้น ต้องพิจารณาถึงการกระทำของจำเลยที่ 1 กับพวก ประกอบกับบาดแผลที่ผู้ตายและผู้เสียหายได้รับ ผู้ตายมีบาดแผลฉีกขาดที่หนังศีรษะด้านซ้าย2 รอย รอยละ 4 เซนติเมตร และ 5 เซนติเมตร บาดแผลฉีกขาดที่กรามซ้าย 6 เซนติเมตร หน้าผากด้านขวาบวมซ้ำ มีเลือดออกจากจมูกและหูทั้งสองข้าง บาดแผลฉีกขาดและถลอกที่แขนซ้ายและเท้าขวา สมองช้ำอย่างรุนแรงผู้ตายถึงแก่ความตายเนื่องจากสมองถูกทำลายอย่างรุนแรง การที่จำเลยที่ 2 ใช้ขวดเบียร์ตีกลางศีรษะผู้ตายจนผู้ตายฟุบนอนคว่ำหน้าทันที ย่อมแสดงให้เห็นได้ว่าจำเลยที่ 2 ใช้ขวดเบียร์ตีกลางศีรษะผู้ตายอย่างแรง จำเลยที่ 2 ย่อมจะเล็งเห็นผลได้ว่า การกระทำเช่นนั้นจะทำให้สมองซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญถูกทำลายและทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตายได้ การกระทำของจำเลยที่ 2จึงเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ส่วนจำเลยที่ 1 นั้นไม่ปรากฏว่ามีสาเหตุกับผู้ตายรุนแรงที่จะต้องฆ่าผู้ตาย แม้จะปรากฏบาดแผลตามรายงานการชันสูตรพลิกศพเอกสารหมาย จ.19 ว่าผู้ตายมีบาดแผลฉีกขาดหลังศีรษะด้านซ้าย 2 รอย รอยละ 4 และ 5 เซนติเมตร ตามลำดับก็ไม่ได้ความชัดเจนว่าเป็นบาดแผลที่เกิดจากจำเลยที่ 1 ทำร้าย ซึ่งอาจเป็นบาดแผลที่เกิดจากจำเลยที่ 2 ใช้ขวดเบียร์ตีผู้ตายก็ได้ จำเลยที่ 1มิได้มีเจตนาร่วมในการกระทำส่วนนี้ด้วย คงมีเจตนาเพียงร่วมทำร้ายร่างกายผู้ตาย เมื่อการร่วมทำร้ายเป็นผลให้ผู้ตายถึงแก่ความตายจำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานร่วมกันทำร้ายผู้อื่นเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย คดีนี้แม้โจทก์จะฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่น แต่ความผิดดังกล่าวรวมการกระทำโดยเจตนาทำร้ายผู้ตายด้วยซึ่งเป็นความผิดอยู่ในตัว เมื่อทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยที่ 1ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยที่ 1 ในฐานความผิดตามที่พิจารณาได้ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192วรรคท้าย ฎีกาจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังขึ้น ส่วนผู้เสียหายนั้นมีบาดแผลฉีกขาดที่หนังศีรษะยาว 3 เซนติเมตร แผลฉีกขาดที่นิ้วเท้าขวายาว 5 เซนติเมตร และแผลฉีกขาดที่หางคิ้วขวายาว 1 เซนติเมตรโดยถูกจำเลยที่ 1 กับพวกใช้โซ่เหล็กฟาดหลายครั้ง ใช้ขวดเบียร์ตีศีรษะและใช้กำลังประทุษร้าย เมื่อพิจารณาจากลักษณะของบาดแผลของผู้เสียหาย ประกอบกับความเห็นของนายสมชายไวกิตติพงษ์ แพทย์ผู้ตรวจร่างกายผู้เสียหายที่ระบุไว้ในผลการตรวจชันสูตรบาดแผลเอกสารหมาย จ.13 ว่า รักษาหายใน 7 วัน ถ้าไม่มีโรคแทรกซ้อน แสดงว่าบาดแผลของผู้เสียหายไม่ร้ายแรงจนถึงกับเป็นอันตรายแก่ชีวิตได้ การกระทำของจำเลยที่ 1 กับพวกต่อผู้เสียหายจึงเป็นการร่วมกันทำร้ายผู้อื่นเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ประกอบด้วยมาตรา 83ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 มีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยที่ 1ข้อนี้ฟังขึ้น ข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้จำเลยที่ 2 จะไม่ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสองประกอบด้วยมาตรา 225 และเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 2 ที่ไม่ได้ฎีกาด้วยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบด้วยมาตรา 225 เฉพาะในความผิดฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้เสียหายเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายได้”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานร่วมกันทำร้ายผู้อื่นเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยมาตรา 83 จำคุก 12 ปีกระทงหนึ่ง จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดฐานร่วมกันทำร้ายผู้อื่นเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295 ประกอบด้วยมาตรา 83 จำคุกคนละ 1 ปี กระทงหนึ่งรวมโทษจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 13 ปี และลดโทษให้จำเลยที่ 2ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 8 เดือน รวมกับโทษฐานฆ่าผู้อื่น จำคุก13 ปี 4 เดือน เป็นจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 13 ปี 12 เดือนนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9
พิพากษายืน