คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 440/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นยกคำร้องขอฎีกาอย่างคนอนาถาและกำหนดให้จำเลยนำเงินค่าธรรมเนียมชั้นฎีกามาวางศาลภายในวันที่ 11 กรกฎาคม จำเลยยื่นคำร้องลงวันที่ 13 กรกฎาคม ขออนุญาตวางเงินค่าธรรมเนียมชั้นฎีกาอ้างว่าเป็นช่วงเปิดเทอมซึ่งบุตรของจำเลยต้องใช้เงินมาก จำเลยติดต่อยืมเงินจากเพื่อนแล้ว แต่เมื่อถึงวันนัดจำเลยไม่ได้รับเงินตามที่ยืม จำเลยจึงเดินทางไปหาพี่ชายแต่พี่ชายไปทำงานต่างอำเภอ วันรุ่งขึ้นจึงพบและได้เงินมารวมกับเงินที่จำเลยมีอยู่แล้วนำมาวางศาล ดังนี้ เป็นกรณีที่ จำเลยไม่ขวนขวายหาเงินค่าธรรมเนียมชั้นฎีกาเสียแต่เนิ่น ๆ หาใช่เหตุสุดวิสัยที่จะขยายระยะเวลาให้แก่จำเลยได้ คำสั่งของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้จำเลยวางเงินค่าธรรมเนียมชั้นฎีกาตามคำร้องจึงมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ว่าด้วยการพิจารณา จึงเห็นควรให้ยกคำสั่งอนุญาตของศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 243(2) และมาตรา 247 กรณีเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและพิพากษาคดีไปได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 247 ประกอบมาตรา 142(5) ฉะนั้น ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยมาจึงเป็นการไม่ชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 298,231 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 278,231 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ หากไม่ชำระให้ขายทอดตลาดที่ดินโฉนดเลขที่ 559 อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ หากไม่พอใจให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยขายทอดตลาดชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบ

จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 298,291 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 278,231 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและในชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 8,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยยื่นฎีกา และยื่นคำร้องขอฎีกาอย่างคนอนาถา ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งลงวันที่ 12 พฤษภาคม 2543 ว่า จำเลยมิใช่คนยากจนไม่อนุญาตให้จำเลยฎีกาอย่างคนอนาถา ยกคำร้องขอฎีกาอย่างคนอนาถาค่าคำร้องให้เป็นพับให้จำเลยนำเงินค่าธรรมเนียมชั้นฎีกามาวางศาลภายใน60 วัน มิฉะนั้นถือว่าไม่ติดใจยื่นฎีกา

วันที่ 13 กรกฎาคม 2543 จำเลยยื่นคำร้องขออนุญาตวางเงินค่าธรรมเนียมชั้นฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต และสั่งรับฎีกาของจำเลย

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า ตามคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องขอฎีกาอย่างคนอนาถา ได้กำหนดให้จำเลยนำเงินค่าธรรมเนียมชั้นฎีกามาวางศาลภายใน 60 วัน จำเลยมีสิทธิวางเงินค่าธรรมเนียมชั้นฎีกาในวันอังคารที่ 11 กรกฎาคม 2543 จำเลยยื่นคำร้องลงวันที่ 13 กรกฎาคม2543 ขออนุญาตวางเงินค่าธรรมเนียมชั้นฎีกา เป็นการขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมชั้นฎีกาที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ การขอขยายหรือย่นระยะเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23จะกระทำได้ต่อเมื่อมีพฤติการณ์พิเศษ และศาลได้มีคำสั่งหรือคู่ความมีคำขอขึ้นมาก่อนสิ้นระยะเวลานั้น เว้นแต่เป็นกรณีที่มีเหตุสุดวิสัยตามคำร้องขออนุญาตวางเงินค่าธรรมเนียมชั้นฎีกาซึ่งยื่นเมื่อพ้นกำหนดเวลา 60 วัน ที่จำเลยอ้างว่าระหว่างที่จำเลยได้รับคำสั่งศาลให้วางเงินค่าธรรมเนียมชั้นฎีกาเป็นช่วงเปิดเทอม ซึ่งบุตรของจำเลยต้องใช้เงินมากจำเลยติดต่อยืมเงินจากเพื่อข้าราชการแล้ว จึงแจ้งทนายจำเลยว่ายังไม่ต้องขอขยายระยะเวลาวางเงิน เนื่องจากเพื่อนข้าราชการรับปากว่าจะให้ยืมเงินในวันที่ 10 กรกฎาคม 2543 แต่เมื่อถึงวันนัดจำเลยไม่ได้รับเงินตามที่ยืม ในวันนั้นจำเลยจึงเดินทางไปหาพี่ชายของจำเลย แต่ปรากฏว่าพี่ชายไปทำงานต่างอำเภอ วันรุ่งขึ้นจำเลยติดตามไปจนพบพี่ชายและได้เงินจากพี่ชาย ซึ่งยืมจากเพื่อนร่วมงานมาให้ นำมารวมกับเงินที่จำเลยมีอยู่บ้างแล้วนำมาวางศาลตามคำร้องนั้น เป็นกรณีที่จำเลยไม่ขวนขวายหาเงินค่าธรรมเนียมชั้นฎีกาเสียแต่เนิ่น ๆ หาใช่เหตุสุดวิสัยที่จะขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมชั้นฎีกาให้แก่จำเลยได้ คำสั่งของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้จำเลยวางเงินค่าธรรมเนียมชั้นฎีกาตามคำร้องลงวันที่ 13 กรกฎาคม 2543 จึงมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการพิจารณาเมื่อความปรากฏแก่ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรให้ยกคำสั่งอนุญาตให้จำเลยวางเงินค่าธรรมเนียมชั้นฎีกาของศาลชั้นต้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 243(2) ประกอบด้วยมาตรา 247 และกรณีไม่ทำให้จำเลยมีสิทธิยื่นฎีกาเมื่อพ้นระยะเวลา 60 วัน ตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยวางเงินค่าธรรมเนียมชั้นฎีกา กรณีเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและพิพากษาคดีไปได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 247 ประกอบมาตรา 142(5) ฉะนั้น ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยมาจึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้”

พิพากษายกคำสั่งของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้จำเลยวางเงินค่าธรรมเนียมชั้นฎีกาตามคำร้องลงวันที่ 13 กรกฎาคม 2543 ค่าคำร้องให้เป็นพับ และยกฎีกาของจำเลย คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดแก่จำเลย โจทก์มิได้ยื่นคำแก้ฎีกาจึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นฎีกาให้ แต่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 298,291 บาท เกินคำขอของโจทก์ น่าจะเกิดจากการพิมพ์ผิดพลาดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 143 จึงแก้ไขจำนวนเงินที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้จำเลยชำระแก่โจทก์เป็น 298,231 บาท

Share