คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 18820/2557

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ขอรังวัดเพื่อสอบเขต แบ่งแยกในนามเดิมและรวมโฉนดที่ดิน โดยโจทก์นำเจ้าพนักงานที่ดินรังวัดแนวเขต แต่จำเลยที่ 1 เห็นว่าแนวเขตด้านทางหลวงเทศบาลไม่ถูกต้อง จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ในฐานะรองนายกเทศมนตรีทำหนังสือถึงเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสุพรรณบุรีขอยกเลิกการลงลายมือชื่อระวังแนวเขตของจำเลยที่ 3 และยื่นคำคัดค้านการรังวัดที่ดินของโจทก์ ดังนั้น ศาลจึงต้องพิจารณาก่อนว่าที่ดินในส่วนที่พิพาทคดีนี้เป็นสิทธิของฝ่ายใด ประเด็นแห่งคดีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินอันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม มิใช่คำสั่งทางปกครองที่จะทำให้คดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองและคดีนี้เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันเพิกถอนคำคัดค้านและรับรองแนวเขตที่ดินพิพาท แม้จะเรียกค่าเสียหายมาด้วย แต่สิทธิฟ้องร้องของโจทก์ย่อมมีอยู่ตลอดไปตราบเท่าที่จำเลยที่ 1 ยังไม่ดำเนินการเพิกถอนคำคัดค้านและรับรองแนวเขตที่ดินพิพาทเมื่อจำเลยที่ 1 ยังไม่ดำเนินการเพิกถอนคำคัดค้านและรับรองแนวเขตที่ดินพิพาทต่อเนื่องกันตลอดมาจนถึงวันฟ้อง ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันเพิกถอนคำคัดค้านและรับรองแนวเขตที่ดินโฉนดเลขที่ 5249 และโฉนดเลขที่ 15271 หากจำเลยทั้งสามไม่ปฏิบัติก็ขอให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสาม ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชำระค่าเสียหายจำนวน 400,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสามให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 เพิกถอนคำคัดค้านการรับรองแนวเขตที่ดินโฉนดเลขที่ 5249 และโฉนดเลขที่ 15271 ตำบลรั้วใหญ่ อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี หากจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1 กับให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท คำขออื่นให้ยก ส่วนจำเลยที่ 2 และที่ 3 พิพากษายกฟ้อง
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์และค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 5248, 5249 และ15271 ตำบลรั้วใหญ่ อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ.2496 จำเลยที่ 2 มีตำแหน่งเป็นรองนายกเทศมนตรี จำเลยที่ 3 เป็นพนักงานเทศบาล ตำแหน่งช่างโยธา 6 ว. โจทก์ยื่นคำร้องขอรังวัดสอบเขต แบ่งแยกในนามเดิมและรวมโฉนดที่ดินของโจทก์ทั้ง 3 แปลง เจ้าพนักงานที่ดินมีหนังสือแจ้งเจ้าของที่ดินข้างเคียงให้ไประวังแนวเขต ต่อมาวันที่ 21 สิงหาคม 2551 ซึ่งเป็นวันนัดรังวัด จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 มีหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยที่ 3 ไประวังแนวเขตทางหลวงเทศบาล การรังวัดเสร็จสิ้นในวันดังกล่าวโดยไม่มีผู้ใดคัดค้าน ต่อมาจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 มีหนังสือถึงสำนักงานที่ดินยกเลิกการมอบอำนาจให้จำเลยที่ 3 ลงลายมือชื่อรับรองแนวเขตและมอบอำนาจให้จำเลยที่ 3 ทำหนังสือคัดค้านการรังวัดที่ดินทั้ง 3 แปลง ของโจทก์ หลังจากนั้นจำเลยที่ 3 ถอนคำคัดค้านการรังวัดที่ดินโฉนดเลขที่ 5248 เจ้าพนักงานที่ดินจึงไกล่เกลี่ยสำหรับที่ดินอีก 2 แปลงที่เหลือ แต่ไม่สามารถตกลงกันได้จึงแนะนำให้โจทก์นำคดีไปฟ้องศาลภายใน 90 วัน นับแต่วันไกล่เกลี่ย หากไม่ดำเนินการในกำหนดดังกล่าวจะยกเลิกคำขอรังวัดที่ดินของโจทก์ คดีสำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ประการแรกว่า คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองและฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้เป็นกรณีที่โจทก์ขอรังวัดเพื่อสอบเขต แบ่งแยกในนามเดิมและรวมโฉนดที่ดิน โดยโจทก์นำเจ้าพนักงานที่ดินรังวัดแนวเขต แต่จำเลยที่ 1 เห็นว่าแนวเขตด้านทางหลวงเทศบาลไม่ถูกต้อง จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ในฐานะรองนายกเทศมนตรีทำหนังสือถึงเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสุพรรณบุรีขอยกเลิกการลงลายมือชื่อระวังแนวเขตของจำเลยที่ 3 และยื่นคำคัดค้านการรังวัดที่ดินของโจทก์ ดังนั้น ศาลจึงต้องพิจารณาก่อนว่าที่ดินในส่วนที่พิพาทคดีนี้เป็นสิทธิของฝ่ายใด ประเด็นแห่งคดีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินอันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม มิใช่คำสั่งทางปกครองที่จะทำให้คดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ส่วนปัญหาเรื่องอายุความนั้น เห็นว่า คดีนี้เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันเพิกถอนคำคัดค้านและรับรองแนวเขตที่ดินพิพาทตามโฉนดที่ดินเลขที่ 5249 และ 15271 ตำบลรั้วใหญ่ อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี แม้จะเรียกค่าเสียหายมาด้วย แต่สิทธิฟ้องร้องของโจทก์ย่อมมีอยู่ตลอดไปตราบเท่าที่จำเลยที่ 1 ยังไม่ดำเนินการเพิกถอนคำคัดค้านและรับรองแนวเขตที่ดินพิพาท เมื่อจำเลยที่ 1 ยังไม่ดำเนินการเพิกถอนคำคัดค้านและรับรองแนวเขตที่ดินพิพาทต่อเนื่องกันตลอดมาจนถึงวันฟ้อง ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share