แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
บทบัญญัติแห่ง ป.วิ.อ. มาตรา 213 เป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาจะใช้อำนาจพิพากษากลับหรือแก้คำพิพากษาศาลล่างไม่ลงโทษหรือลดโทษให้จำเลยตลอดไปถึงจำเลยอื่นที่มิได้อุทธรณ์หรือฎีกามิให้ต้องถูกรับโทษหรือได้ลดโทษเช่นเดียวกับจำเลยผู้อุทธรณ์หรือฎีกา แต่กรณีที่ผู้ร่วมกระทำความผิดถูกแยกฟ้องเป็นหลายคดีเช่นนี้ การที่พยานหลักฐานของโจทก์เพียงพอจะรับฟังลงโทษจำเลยคนใดที่ร่วมกระทำความผิดได้หรือไม่ เป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับจำเลยแต่ละคนเป็นการเฉพาะตัวเป็นราย ๆ ไปเฉพาะคดีนั้น ๆ ซึ่งพยานหลักฐานของโจทก์อาจพาดพิงถึงจำเลยแต่ละคดีมากน้อยต่างกันตามข้อเท็จจริงจากทางนำสืบเป็นรายคดี ไม่เป็นเหตุอยู่ในลักษณะคดี
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 277
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสาม (เดิม) ประกอบมาตรา 83 จำคุกตลอดชีวิต
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองหรือไม่ เห็นว่า คืนเกิดเหตุมีแสงสว่างจากดวงจันทร์ของคืนเดือนหงายจึงมีแสงสว่างพอที่จะให้เห็นเหตุการณ์ได้ ทั้งเหตุการณ์ภายในขนำก็ได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหายว่า ได้ยินเสียงนายบินเรียกชื่อจำเลยซึ่งผู้เสียหายรู้จักมาก่อนเนื่องจากเป็นเพื่อนของคนรักของผู้เสียหาย เมื่อคนร้ายพาผู้เสียหายออกมานอกขนำคนร้ายก็เปิดผ้าที่ปิดหน้าออก ผู้เสียหายจึงเห็นหน้าจำเลย และยังเห็นจำเลยในขณะที่ตามหานางสาวจันทิมา และขณะจำเลยพูดข่มขู่ผู้เสียหายกับนางสาวจันทิมาและร่วมกับคนร้ายอื่นพาผู้เสียหายกับนางสาวจันทิมาไปส่งที่บ้านเพื่อนผู้เสียหายด้วย ผู้เสียหายและนางสาวจันทิมามีโอกาสเห็นหน้าจำเลยนานพอสมควร เชื่อว่าผู้เสียหายและนางสาวจันทิมาเห็นและจดจำจำเลยได้ ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า จากรายงานผลการตรวจร่างกายผู้เสียหายของแพทย์หญิงวนิดาไม่พบร่องรอยฟกช้ำที่บริเวณแคมนอกและแคมในของอวัยวะเพศผู้เสียหาย หากผู้เสียหายถูกคนร้ายหลายคนข่มขืนกระทำชำเราก็น่าจะปรากฏร่องรอยฟกช้ำให้เห็นบ้าง เห็นว่า ได้ความจากแพทย์หญิงวนิดาว่า การไม่ปรากฏรอยฟกช้ำที่อวัยวะเพศของผู้เสียหาย อาจเป็นเพราะผู้เสียหายเคยร่วมประเวณีมาแล้วก่อนเกิดเหตุ ซึ่งก็ได้ความจากบันทึกผู้เสียหายถูกกระทำชำเราว่า ผู้เสียหายแต่งงานมาแล้ว 3 เดือน ดังนั้นการไม่พบร่องรอยฟกช้ำดังกล่าวก็หาทำให้คำเบิกความของผู้เสียหายมีข้อพิรุธสงสัยแต่อย่างใด ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยถูกกล่าวหาว่าร่วมกระทำความผิดฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายกับนายคมกฤษณ์หรือบิน แต่ในคดีที่โจทก์ฟ้องนายคมกฤษณ์ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน พยานหลักฐานของโจทก์ในคดีดังกล่าวเป็นชุดเดียวกันกับพยานหลักฐานของโจทก์คดีนี้ จำเลยจึงย่อมต้องได้รับผลในคำวินิจฉัยในคดีดังกล่าวด้วย เนื่องจากเป็นเหตุลักษณะคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 เห็นว่า ตามบทบัญญัติแห่งมาตราดังกล่าวลำพัง หรือประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 225 เป็นกรณีที่ศาลมีคำพิพากษาว่าจำเลยหลายคนร่วมกันกระทำความผิด จำเลยคนหนึ่งคนใดอุทธรณ์หรือฎีกาแล้วแต่กรณี และศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาจะพิพากษากลับหรือแก้คำพิพากษาศาลล่างไม่ลงโทษหรือลดโทษให้จำเลยผู้นั้น ศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาไปถึงจำเลยอื่นที่มิได้อุทธรณ์หรือฎีกามิให้ต้องถูกรับโทษหรือได้ลดโทษเช่นเดียวกับจำเลยผู้อุทธรณ์หรือฎีกาได้หากเป็นเหตุในลักษณะคดี แต่กรณีผู้ร่วมกระทำความผิดถูกแยกฟ้องเป็นหลายคดีเช่นนี้ การที่พยานหลักฐานของโจทก์เพียงพอจะรับฟังลงโทษจำเลยคนใดที่ร่วมกระทำความผิดได้หรือไม่ เป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับจำเลยแต่ละคนเป็นการเฉพาะตัวเป็นราย ๆ ไปเฉพาะคดีนั้น ๆ ซึ่งพยานหลักฐานของโจทก์อาจพาดพิงถึงจำเลยแต่ละคดีมากน้อยต่างกันตามข้อเท็จจริงจากทางนำสืบเป็นรายคดี ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสอง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน