คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4896/2557

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการว่า สัญญาจ้างมุ่งถึงผลสำเร็จของงานทั้งหมด ผู้ร้องกับผู้คัดค้านต่างมิได้ยึดถือเอาการชำระค่าจ้างตามเนื้องานที่ระบุในแต่ละงวดตามสัญญาเป็นข้อสาระสำคัญ แม้ผู้คัดค้านไม่ชำระค่าจ้างงานงวดที่ 11 อายุความยังไม่เริ่มนับ อายุความเริ่มนับเมื่อส่งมอบงานทั้งหมดแล้ว ผู้คัดค้านอุทธรณ์ว่า คำพิพากษาของศาลชั้นต้นคลาดเคลื่อนต่อความเป็นจริงเพราะสัญญาจ้างระบุงานในแต่ละงวดและระบุค่าจ้างไว้ชัดเจน อายุความย่อมเริ่มนับเมื่อผู้ว่าจ้างไม่ชำระค่าจ้างในแต่ละงวดนั้น อุทธรณ์ของผู้คัดค้านเป็นการโต้แย้งการวิเคราะห์พยานหลักฐานและดุลพินิจในการวินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานในสำนวนของอนุญาโตตุลาการ และโต้แย้งการให้เหตุผลในการวินิจฉัยตีความข้อสัญญาระหว่างผู้ร้องกับผู้คัดค้านของอนุญาโตตุลาการและศาลชั้นต้นโดยไม่ปรากฏว่ามีการวินิจฉัยผิดจากวิธีพิจารณาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายแต่อย่างใด จึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ข้อยกเว้นตามบทบัญญัติแห่ง พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2545 มาตรา 45 (2) ที่ว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นนั้นฝ่าฝืนต่อบทกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนแต่ประการใด ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ที่ผู้คัดค้านอุทธรณ์ทำนองว่า อนุญาโตตุลาการทำคำวินิจฉัยชี้ขาดคดีนี้นานถึงหนึ่งปี ย่อมขัดต่อข้อบังคับสำนักงานศาลยุติธรรมว่าด้วยอนุญาโตตุลาการ ข้อ 27 ที่ต้องทำคำชี้ขาดให้เสร็จภายในกำหนดเวลาหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันที่ตั้งอนุญาโตตุลาการนั้น ข้อบังคับดังกล่าวเป็นเพียงกรอบเวลาที่ได้กำหนดให้ดำเนินการเท่านั้น การที่อนุญาโตตุลาการไม่อาจทำคำชี้ขาดได้เสร็จภายในกำหนดเวลาตามข้อบังคับ ไม่ถึงกับทำให้กระบวนพิจารณาในชั้นอนุญาโตตุลาการไม่ชอบด้วยกฎหมายแต่อย่างใด ดังนั้น การบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการจึงไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนตาม พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2545 มาตรา 45 (1)

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องรับจ้างสร้างบ้านพักอาศัยสามชั้นจำนวน ๒ หลัง ให้แก่ผู้คัดค้านราคา ๘,๔๙๐,๐๐๐ บาท กำหนดแล้วเสร็จภายในวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๖ มีการแบ่งงวดงาน ๑๒ งวด หากมีข้อพิพาทที่เกี่ยวกับสัญญาให้เสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลการเพื่อชี้ขาด ภายหลังทำสัญญาแล้วผู้คัดค้านไม่ปฏิบัติตามสัญญา ผู้ร้องยื่นคำร้องเสนอข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย อนุญาโตตุลาการพิจารณาแล้วชี้ขาดให้ผู้คัดค้านชดใช้ค่าจ้างงานงวดที่ ๑๑ และค่างานเพิ่มที่ผู้คัดค้านยอมรับให้แก่ผู้ร้องรวมเป็นเงิน ๑,๑๒๑,๙๑๒ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันทำคำชี้ขาดไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง ผู้คัดค้านไม่ปฏิบัติตามคำชี้ขาด ขอให้ศาลมีคำพิพากษาบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องใช้สิทธิเรียกร้องเงินค่าจ้างงวดที่ ๑๑ เกิน ๒ ปี นับจากวันที่มีสิทธิเรียกร้อง คือวันที่ ๒๔ (คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ ระบุวันที่ ๒๒) กันยายน ๒๕๔๖ จึงขาดอายุความแล้ว และการดำเนินกระบวนพิจารณาของอนุญาโตตุลาการในการทำคำชี้ขาดเกินเวลา ๑๘๐ วัน นับแต่วันที่ตั้งอนุญาโตตุลาการ โดยไม่มีเหตุสมควร ขัดต่อข้อบังคับสำนักงานศาลยุติธรรมว่าด้วยอนุญาตโตตุลาการ ข้อ ๒๗ ขอให้ศาลยกคำร้องปฏิเสธไม่รับบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้บังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการตามข้อพิพาทหมายเลขแดงที่ ๑๗/๒๕๕๑ ของสถาบันอนุญาโตตุลาการ สำนักงานศาลยุติธรรม โดยให้ผู้คัดค้านชำระเงินให้แก่ผู้ร้องจำนวน ๑,๑๒๑,๙๑๒ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันทำคำชี้ขาด (วันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๑) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้ผู้คัดค้านใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนผู้ร้อง โดยกำหนดค่าทนายความ ๓,๐๐๐ บาท
ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้คัดค้านว่า คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการขัดต่อกฎหมายหรือไม่ และกระบวนพิจารณาในชั้นอนุญาโตตุลาการเป็นไปโดยชอบหรือไม่ โดยผู้คัดค้านอุทธรณ์ทำนองว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาตามคำชี้ขาดของอนุญาตโตตุลาการที่ว่า สัญญาจ้างมุ่งถึงผลสำเร็จของงานทั้งหมด ผู้ร้องกับผู้คัดค้านต่างมิได้ยึดถือเอาการชำระค่าจ้างตามเนื้องานที่ระบุในแต่ละงวดตามสัญญาเป็นข้อสาระสำคัญ แม้ผู้คัดค้านไม่ชำระค่าจ้างงานงวดที่ ๑๑ อายุความยังไม่เริ่มนับ อายุความเริ่มนับเมื่อส่งมอบงานทั้งหมดแล้ว คำพิพากษาของศาลชั้นต้นจึงคลาดเคลื่อนต่อความเป็นจริงเพราะสัญญาจ้างระบุงานในแต่ละงวดและระบุค่าจ้างไว้ชัดเจน อายุความ
ย่อมเริ่มนับเมื่อผู้ว่าจ้างไม่ชำระค่าจ้างในแต่ละงวดนั้น เห็นว่า อุทธรณ์ของผู้คัดค้านในข้อนี้เป็นการโต้แย้งการวิเคราะห์พยานหลักฐานและดุลพินิจในการวินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานในสำนวนของอนุญาโตตุลาการ และโต้แย้งการให้เหตุผลในการวินิจฉัยตีความข้อสัญญาระหว่างผู้ร้องกับผู้คัดค้านของอนุญาโตตุลาการและศาลชั้นต้นโดยไม่ปรากฏว่ามีการวินิจฉัยผิดจากวิธีพิจารณาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายแต่อย่างใด จึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ข้อยกเว้นตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ.๒๕๔๕ มาตรา ๔๕ (๒) ที่ว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นนั้น ฝ่าฝืนต่อบทกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนแต่ประการใด ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ ส่วนที่ผู้คัดค้านอุทธรณ์ทำนองว่า อนุญาโตตุลาการทำคำวินิจฉัยชี้ขาดคดีนี้นานถึงหนึ่งปี ย่อมขัดต่อข้อบังคับสำนักงานศาลยุติธรรมว่าด้วยอนุญาโตตุลาการ ข้อ ๒๗ ที่ต้องทำคำชี้ขาดให้เสร็จภายในกำหนดเวลาหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันที่ตั้งอนุญาโตตุลาการนั้น เห็นว่า ข้อบังคับดังกล่าวเป็นเพียงกรอบเวลาที่ได้กำหนดให้ดำเนินการเท่านั้น การที่อนุญาโตตุลาการไม่อาจทำคำชี้ขาดได้เสร็จภายในกำหนดเวลาตามข้อบังคับ ไม่ถึงกับทำให้กระบวนพิจารณาในชั้นอนุญาโตตุลาการไม่ชอบด้วยกฎหมายแต่อย่างใด ดังนั้น การบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการจึงไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ.๒๕๔๕ มาตรา ๔๕ (๑) ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของผู้คัดค้านข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ

Share