คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1808/2527

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและเรียกค่าเช่ากับค่าเสียหายจำเลย ให้การว่าไม่เคยเช่าที่ดินโจทก์และได้ออกจากที่พิพาทไป แล้ว ก่อนสืบพยานโจทก์ จำเลยขอให้ศาลชี้ขาด ข้อกฎหมายเบื้องต้นว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะสำเนาเอกสาร ท้ายฟ้องมิใช่สัญญาเช่าและจำเลยออกจากที่พิพาทไปแล้วศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์จำเลยและพิพากษายกฟ้องโจทก์โจทก์อุทธรณ์ว่าศาลชั้นต้นยกฟ้องโจทก์โดยอ้างว่า บันทึกประจำวันท้ายฟ้องไม่ใช่สัญญาเช่านั้นไม่ชอบขอให้พิพากษาให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์แล้วพิจารณาใหม่ตาม รูปคดีดังนี้ ประเด็นตามอุทธรณ์ของโจทก์มีเพียงว่า บันทึกประจำวันท้ายฟ้องเป็นหลักฐานการเช่าหรือไม่ ที่ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คำฟ้องของโจทก์แสดงว่ามีข้อโต้แย้ง เกิดขึ้นระหว่างโจทก์จำเลยเกี่ยวกับที่พิพาท ต้องฟังข้อเท็จจริงจากการนำสืบของคู่ความก่อนแล้วให้ศาลชั้นต้น พิจารณาพิพากษาใหม่นั้น จึงไม่ตรงตามประเด็นที่โจทก์ อุทธรณ์เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าบันทึกประจำวันท้ายฟ้องไม่ใช่ หลักฐานการเช่าแล้ว ก็ต้องยกฟ้องโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดิน จำเลยทั้งหมดได้เช่าที่ดินโจทก์ ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2520 จนถึงวันฟ้องและขอเช่ามีกำหนด 10 ปี แต่โจทก์ไม่ยอมนับแต่จำเลยเข้าทำสวนองุ่นในที่ดินของโจทก์แล้ว ไม่เคยส่งค่าเช่าให้โจทก์เลยโจทก์บอกเลิกการเช่าแล้ว จำเลยทั้งหมดยังไม่ออกไป จึงเป็นการทำละเมิด นับแต่เดือนมีนาคม 2520 จนถึงวันฟ้องจำเลยต้องเสียค่าเช่าให้โจทก์ 40,000 บาท และต้องเสียปีละ 8,000 บาท ต่อไปจนกว่าจำเลยจะออกไปพ้นที่ดินโจทก์ ขอให้ขับไล่จำเลยทั้งหมดออกจากที่ดินโจทก์ และให้จำเลยเสียค่าเช่า 40,000 บาท และเสียค่าเช่าเป็นรายปี ปีละ 8,000 บาท จนกว่าจำเลยทั้งหมดจะออกไปจากที่ดินโจทก์

จำเลยที่ 1, 2, 4 และ 5 ให้การว่าไม่ได้เช่าที่พิพาทของโจทก์ จำเลยที่ 1 และที่ 2 เข้าทำประโยชน์ในที่ดินโดยความยินยอมของบิดาโจทก์ และออกไปจากที่พิพาท ตั้งแต่เดือนเมษายน 2525 สำหรับจำเลยที่ 3,4 และ 5 ไม่เคยเข้าไปเกี่ยวข้องกับที่พิพาท หากจำเลยต้องรับผิดชำระค่าเช่าจะเป็นเงินไม่เกิน 12,000 บาทและและค่าเสียหายไม่เกินปีละ 2,400 บาท โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะจำเลยไม่เคยเช่าที่พิพาทและรายงานประจำวันธุรการของสถานีตำรวจฯ เอกสารท้ายฟ้องไม่ใช่หลักฐานการเช่าอสังหาริมทรัพย์ ขอให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การ

ระหว่างพิจารณาจำเลยขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาข้อกฎหมายเบื้องต้นว่าบันทึกประจำวันของสถานีตำรวจภูธรอำเภอดำเนินสะดวกในคดีนี้ไม่ใช่หลักฐานการเช่าโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง และจำเลยแถลงว่าจำเลยและบริวารออกจากที่พิพาทไปแล้ว โจทก์รับว่าสัญญาเช่าไม่มี คงมีแต่บันทึกประจำวัน ฯ ตามเอกสารท้ายฟ้อง

ศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์ จำเลย แล้วพิพากษาว่า บันทึกประจำวันของสถานีตำรวจภูธรอำเภอดำเนินสะดวกตามเอกสารท้ายฟ้องไม่ใช่หลักฐานการเช่าและจำเลยได้เก็บเกี่ยวพืชผลออกจากที่พิพาทไปแล้ว ตั้งแต่เดือนเมษายน 2525ก่อนที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คำฟ้องของโจทก์แสดงว่ามีข้อโต้แย้งสิทธิระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งหมดแล้ว และขอให้ขับไล่จำเลยทุกคนออกไป ให้ใช้ค่าเช่า ค่าเสียหายจึงต้องฟังข้อเท็จจริงจากการนำสืบของคู่ความก่อนพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปจนสิ้นกระแสความแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

จำเลยที่ 1, 2, 4, และ 5 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นเห็นว่ารายงานประจำวันธุรการฯ เอกสารท้ายฟ้อง ไม่มีข้อความอันใดพอที่จะอนุมานได้ว่ามีการตกลงเช่าที่พิพาทต่อกันฯ พิพากษายกฟ้องโจทก์อุทธรณ์ว่าเมื่อจำเลยมีเจตนาจะเช่าสวนโจทก์แล้วบันทึกประจำวันเอกสารท้ายฟ้องต้องถือว่าเป็นสัญญาเช่ามีกำหนด 5 ปี ที่ศาลชั้นต้นยกฟ้องโดยอ้างว่าบันทึกประจำวันดังกล่าวไม่ใช่สัญญาเช่าจึงไม่ชอบ ดังนี้ ศาลฎีกาเห็นว่าประเด็นตามอุทธรณ์ของโจทก์มีเพียงว่าเอกสารท้ายฟ้องเป็นหลักฐานการเช่าเป็นหนังสือหรือไม่ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคำฟ้องของโจทก์ แสดงว่ามีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นระหว่างโจทก์กับจำเลยทุกคนเกี่ยวกับที่พิพาท ต้องฟังข้อเท็จจริงจากการนำสืบของคู่ความก่อนนั้น ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยตรงตามประเด็นที่โจทก์อุทธรณ์ขึ้นมาไม่ ศาลฎีกาพิเคราะห์ข้อความในเอกสารท้ายฟ้องแล้วเห็นว่า จำเลยที่ 1 ทำสวนองุ่นอยู่ในที่ดินซึ่งมีกรรมสิทธิ์ร่วมกันเมื่อตกลงแบ่งกันปรากฏว่าที่ดินส่วนของโจทก์ จำเลยที่ 1 ทำสวนองุ่นอยู่ก่อนแล้วจำเลยที่ 1 จึงขอทำสัญญา 10 ปี ฝ่ายโจทก์จะให้เวลา 5 ปี ในที่สุดตกลงกันไม่ได้เช่นนี้จะว่าเอกสารท้ายฟ้องเป็นหลักฐานแสดงการเช่าอสังหาริมทรัพย์หาได้ไม่ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น

พิพากษากลับให้ยกฟ้อง

Share